วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวปุ่ม "Want"

มากกว่า Like! เฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวปุ่ม "Want" เร็ว ๆ นี้


..... หลังจากเพิ่งจะเปิดตัวบริการเฟซบุ๊กกิฟต์ (Facebook Gift) ที่ให้ผู้ใช้ซื้อของให้เพื่อนบนเฟซบุ๊กได้จริง ๆ ไปหมาด ๆ ล่าสุด เฟซบุ๊กก็เตรียมเปิดตัวปุ่มใหม่ "Want" ออกมาให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ใช้กันในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกใหม่ให้เข้าถึงอารมณ์ผู้ใช้มากขึ้น แถมยังเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊กมากโข

โดยทางเฟซบุ๊ก ได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า เฟซบุ๊กกำลังร่วมมือกับผู้ค้าปลีก 7 บริษัท ทดสอบการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ "Facebook Collections" กับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวมีการเพิ่มปุ่ม Want เข้าไปให้ผู้ใช้งานได้แชร์ความต้องการสินค้าได้ชัดเจนขึ้น และสร้างรายชื่อสินค้าที่ต้องการ (Wishlists) ได้






สำหรับฟีเจอร์ Facebook Collections นี้ เฟซบุ๊กได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเอาใจทั้งเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊ก และผู้ใช้งานทั่วไป เพราะต่อไปนี้ เมื่อเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊กแชร์ภาพสินค้าใด ๆ ผู้ใช้ก็จะสามารถระบุว่าตัวเอง Like, Want, หรือ Collect สินค้าชิ้นนั้น และเมื่อผู้ใช้ได้คลิกแสดงอารมณ์ของตัวเองที่มีต่อสินค้าชิ้นนั้นแล้ว แน่นอนว่า สินค้านั้นก็จะไปปรากฏบนหน้า News Feed เพื่อบอกต่อเพื่อน ๆ คนอื่นด้วย เรียกว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการโปรโมทสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้ดีเลยทีเดียว และที่สำคัญ เจ้าของธุรกิจก็จะได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้เข้าชมที่มีต่อสินค้า โดยแยกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่แค่ชื่นชอบ กลุ่มที่ต้องการ และกลุ่มที่ซื้อสินค้า

ทั้งนี้ การเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ Facebook Collections ลงในเฟซบุ๊ก หลังเปิดตัวบริการเฟซบุ๊กกิฟต์ (Facebook Gift) ซึ่งเป็นบริการสั่งซื้อของขวัญให้เพื่อนบนเฟซบุ๊ก ไปได้ไม่ถึงเดือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เฟซบุ๊กกำลังเดินหน้ารุกตลาดอีคอมเมิร์สอย่างจริงจังแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวโกยรายได้ให้กับเฟซบุ๊กไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าฟีเจอร์ Facebook Collections นี้ คงจะเปิดตัวให้เริ่มใช้งานกันอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาก่อนเช่นเคย จึงจะขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ต่อไป

From : ครูบ้านนอกดอทคอม

World’s Best Multinational Workplaces เผยบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก

บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก World’s Best Multinational Workplaces ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดย Great Place to Work®
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นต้องมาติดตามกันดู เว็บไซต์ thanonline.com ได้รายงานว่า บริษัท แซส คว้าอันดับสูงสุดในกลุ่ม “บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก” (World’s Best Multinational Workplaces) จาก Great Place to Work®

โดยบริษัท แซส ผู้นำในตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ได้รับอันดับที่ 1 จากการพิจารณาในด้านสถานที่ทำงานที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ชุมชนที่มีลักษณะเปิดกว้าง สิทธิประโยชน์ที่เอื้ออาทร และการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

“การได้รับการยกย่องในครั้งนี้ย้ำให้เห็นถึงความพยายามของเราในการสนับสนุนให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรมทั่วโลก ไม่ว่าเราจะมีสถานที่ทำงานตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม” นายจิม กูดไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แซส กล่าว และว่า “ความเห็นของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการประสบความสำเร็จในการเป็นสถานที่ทำงานชั้นเยี่ยมอันดับหนึ่งของทำเนียบการจัดอันดับในครั้งนี้ นั่นหมายความว่าจะต้องเกิดแนวทางปฏิบัติที่ดีเยี่ยมในลักษณะที่พนักงานของแซสได้ให้ความสำคัญกับองค์กรในระดับที่มากเทียบเท่ากับที่เราได้ให้ความสำคัญกับพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่เราให้ความสำคัญกับลูกค้าของเราด้วย”

ทั้งนี้ มีบริษัท แซส ทั่วโลกที่ได้รับการยกย่องจาก Great Place to Work โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัท แซส ได้รับอับดับที่ 2 ของบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก และในปี 2555 บริษัท แซส เบลเยียม และบริษัท แซส สวีเดนได้รับอันดับ 1 ในบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศ (Best Companies to Work For) ขณะที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท แซส (สหรัฐอเมริกา) และบริษัท แซส นอร์เวย์ ได้รับอันดับหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศในปี 2553 และ 2554 และในปีนี้ บริษัท แซส ยังได้รับอับดับสูงสุดของสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดในประเทศออสเตรเลีย เบลเยียม แคนาดา ยุโรป ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ อินเดีย อิตาลี เม็กซิโก และเนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา

“บริษัทที่ติดทำเนียบ “บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก” ประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่สองนี้ กำลังเดินหน้าสร้างสถานที่ทำงานที่มุ่งเน้นในด้านการสนับสนุนให้เกิดความไว้วางใจ ความภาคภูมิใจ และสัมพันธภาพที่ดีร่วมกับพนักงานของตน” นางสาวซูซาน ลูคัส-คอนเวลล์ ซีอีโอส่วนกลางของ Great Place to Work กล่าว และว่า “การมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบอันทรงเกียรตินี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นของพวกเขาในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของพนักงานให้ดียิ่งขึ้นและสร้างมาตรฐานใหม่เชิงนวัตกรรมสำหรับสถานที่ทำงานแห่งอนาคต”

สำหรับบริษัทที่มีสิทธิ์เข้าร่วมในโครงการนี้ จะต้องเป็นบริษัทที่ติดอันดับบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศของ Great Place to Work อย่างน้อยห้าครั้งในช่วงปีที่ผ่านมาและมีพนักงานทั่วโลก 5,000 คน โดยจะต้องมีสัดส่วนของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายนอกประเทศที่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ บริษัทที่มีรายชื่อติดในทำเนียบบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลกนั้น เป็นการจัดอันดับจากพนักงานของตนว่าเป็นบริษัทที่ดีที่สุด และมีนโยบายด้านทรัพยากรบุคคลที่ดีเยี่ยม รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการไว้วางใจ
นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า

“สำหรับประเทศไทย เรามุ่งเน้นด้านความสุขในการทำงานของพนักงานเช่นเดียวกัน เพราะเป็นนโยบายของแซสทั่วโลก ว่า ถ้าพนักงานมีความสุขในการทำงานและมีสวัสดิการที่ดีแล้ว คุณภาพและความใส่ใจต่อการบริการลูกค้าก็จะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น โดยหนึ่งในสวัสดิการของพนักงานที่ผ่านมาเราได้ให้พนักงานใช้บริการสถานที่ออกกำลังกายและสปาฟรีได้ตามความต้องการ ทั้งยังมีแผนพัฒนารายบุคคลให้แก่พนักงานแตกต่างกันตามความเหมาะสมและความสนใจ ซึ่งนี่เป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญมุ่งพัฒนาให้เหนือมาตรฐานตลาดทั่วไป พร้อมทั้งหมั่นสอบถามความต้องการของพนักงานแต่ละคนว่า ต้องการสวัสดิการอะไรที่เพิ่มเติม เพื่อให้ตรงกับความต้องการของพนักงาน ซึ่งเราก็มีความมุ่งมั่นที่จะติดอันดับ บริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศไทยเช่นเดียวกัน”

ทำเนียบบริษัทที่น่าทำงานที่สุดถือกำเนิดภายใต้ความร่วมมือกับนิตยสารฟอร์จูนในสหรัฐอเมริกา และบริษัท เอ็กแซม ในบราซิลเมื่อปี 2540 โดยขณะนี้ Great Place to Work ได้ให้การยกย่องสถานที่ทำงานชั้นนำต่างๆ แล้วใน 45 ประเทศ และในทุกปี Great Place to Work จะวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสำรวจที่ได้รับจากพนักงานซึ่งมีจำนวนกว่า 2.5 ล้านคน และทำการวิเคราะห์วัฒนธรรมของสถานที่ทำงานที่ได้ข้อมูลจากบริษัท 5,671 แห่งที่รวมแล้วมีพนักงานกว่า 11 ล้านคน สำหรับทำเนียบบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลกนั้น ได้พิจารณาข้อมูลแบบสำรวจจากพนักงานในบริษัทนับพันแห่งใน 6 ทวีป ซึ่งนั่นช่วยให้แน่ใจได้ว่าผลการศึกษาสถานที่งานที่ดีเยี่ยมประจำปีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนั้นสามารถเชื่อถือได้


ถนนที่ดังที่สุดในโลก

travel mthai ชวนเดินถนนสุดคึกคัก คงความเป็นเอกลักษณ์และมีมนต์ขลัง ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม รวมถึงความงดงามแห่งวิถีชีวิต กลายเป็นหนึ่งสถานน่าพิศมัย กับ 10 อันดับ ถนนที่ดังที่สุดในโลก
อันดับ 10. Lombard Street



ถนนลอมบาร์ด เชื่อมระหว่าง ถนนไฮด์ (Hyde) กับ ถนนลีเวนเวิร์ท (Leavenworth) ใน เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อว่าเป็น ถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก เป็นทางลาดชัน 40 องศา เป็นเส้นทางเดินรถทางเดียว ซึ่งประกอบด้วย 8 โค้งหักศอก ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความสูงชันของเนินเขา และจำกัดความเร็วอยู่ที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับขี่บน ถนนลอมบาร์ด จึงเป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจของหมู่นักท่องเที่ยว ต้องอาศัยความชำนาญและความระมัดระวังอย่างมาก เพราะเป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเสมอ ทางที่ดีเดินลงบันข้างทางน่าจะปลอดภัยสุด!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 9. Abbey Road



ถนนแอบบี้ ถนนชื่อดังทางตอนเหนือของ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งสุดปลายถนนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้นั้นเป็นที่ตั้งของสตูดิโอเพลงที่วง The Beatles (เดอะ บีเทิลส์) ใช้อัดเสียง ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1969 พวกเขารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำอัลบั้มสุดท้ายก่อนแยกวง และให้ชื่อว่า Abbey Road โดยปกอัลบั้มเป็นภาพสมาชิกในวงเดินข้ามทางม้าลายที่ ถนนแอบบี้ ใกล้กับสตูดิโอ กลายเป็นภาพยอดฮิตติดตลาดโลก นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเหยียบ จะต้องเดินเลียนแบบเทียบชั้นศิลปินชื่อดังกลุ่มนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมของอังกฤษยังยกย่องให้ ทางม้าลาย แห่ง Abbey Road เป็น มรดกทางวัฒนธรรม ชั้นที่ 2 ของประเทศ เป็นทางม้าลายแรกที่ได้รับสิทธิ์นั้น!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 8. Hollywood Walk of Fame



ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม เป็นทางเท้าที่อยู่สองข้างทางถนน ฮอลลีวูด บูเลวาร์ด เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสถานที่จารึกชื่อของนักแสดงและบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ วงการโทรทัศน์ วงการดนตรี วงการวิทยุ และ วงการละครเวที ผ่านดวงดาวที่สลักลงบนพื้นถนน กว่า 2,400 คนแล้วที่ได้รับการจารึกบน Hollywood Walk of Fame ทั้งนี้แฟนคลับหรือคนทั่วไปมีสิทธิ์ยื่นเสนอชื่อบุคคลในแต่ละสาขาที่ตนโปรดปราน ส่งให้คณะกรรมการหอการค้าฮอลลีวูดพิจารณาในแต่ละปี แต่จารึกแล้วใช่จะได้เปล่า มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อทุกคน จะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียม เป็นเงิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา..ศิลปินบอกว่า จิ๊บๆ!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 7. La Rambla



ถนนรา รัมบลา ถนนที่คึกคักและมีชีวิตชีวาที่สุดในบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เป็นเส้นทางช้อปปิ้งซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้ตลอดสองข้าง บนระยะทาง 1.2 กิโลเมตร คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนในท้องถิ่นเสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ ที่เรียกกันว่า ถนนคนเดิน ลาส รัมบลาส (Las Ramblas) เป็นถนนที่มีความหลากหลายทั้งตลาดสินค้า และการแสดงข้างถนน สะท้อนให้เห็นแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ที่สุดปลายถนนใกล้กับท่าเรือเก่าของเมืองบาร์เซโลนา อนุสาวรีย์ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ ยืนคอยท่าอยู่!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 6. Orchard Road



ถนนออชาร์ด เป็นถนนช้อปปิ้งสายสำคัญของประเทศสิงคโปร์ เป็นที่เที่ยวยอดนิยมทั้งในหมู่คนสิงคโปร์และนักท่องเที่ยว ชื่อถนนตั้งตามสวนพริกไทยและจันทน์เทศซึ่งอดีตเคยเป็นที่ทำการเพาะปลูกพืชสวน ปัจจุบัน Orchard Road เรียงรายไปด้วยภัตตาคาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ ไนท์คลับ และโรงแรงมากมายตลอดเส้น ทั้งยังเป็นที่ตั้งของ อิสตาน่า (Istana) ที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสิงคโปร์ และแน่นอนว่าเทศกาลสำคัญอย่างคริสมาสต์ ต้องมาสร้างความคึกคักบน ถนนออชาร์ด !

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 5. Khao San Road



ถนนข้าวสาร ของพี่ไทยอย่างเราก็ไม่น้อยหน้า ติดอันดับเข้าหูเข้าตาต่างชาติใช่ย่อย ถนนเส้นเล็กๆ แห่งนี้เดิมเป็นย่านเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นตรอกที่ขายข้าวสารและเป็นแหล่งค้าขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดของเขตพระนคร ปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็นแหล่งรวมสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงของโลก เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและเทศ โดยเฉพาะกลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ เพราะที่พักมีราคาถูก ระยะทางของ ถนนข้าวสาร เริ่มตั้งแต่ถนนจักรพงษ์หน้าวัดชนะสงคราม ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงถนนตะนาวใกล้สี่แยกคอกวัว ตลอดเส้นKhao San Road นอกจากบาร์ ร้านเสื้อผ้า ของชำร่วย และเครื่องเงินแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ชาวเขาและ ผัดไทย !

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 4. Wall Street



ถนนวอลสตรีท เส้นทางเก่าแก่ จาก บรอดเวย์ สู่ อีสท์ ริเวอร์ บน เกาะแมนฮัตตัน เป็นย่านตลาดหลักทรัพย์แห่งนิวยอร์ค และ ศูนย์กลางทางการเงินของโลก Wall Street คือชื่อถนนซึ่งตั้งจากกำแพงที่สร้างในศตวรรษที่ 17 โดยชาวดัตช์เพื่อปกป้องถิ่นฐาน ปลายศตวรรษที่ 18 พ่อค้าและนักเก็งกำไรรวมตัวกันบนถนนสายนี้เพื่อประกอบธุรกิจอย่างเป็นทางการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. 1817

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 3. Via Dolorosa



ถนนเวีย โดโลโรซ่า ในภาษาลาตินแปลว่า วิถีแห่งความเศร้าโศก ตั้งอยู่ที่ เมืองเก่าแห่งเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล สถานที่ซึ่งทิ้งร่องรอยสุดท้ายของพระเยซูจากการถูกตรึงไม้กางเขน ตามเส้นทางทั้งหมด 14 แห่ง ที่เชื่อมโยงแต่ละเหตุการณ์ ให้นักแสวงบุญเดินทางเพื่อบรรลุถึงความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นเจ้า ถนนแห่งประวัติศาตร์นี้มีการค้นพบทางโบราณคดีตลอดหลายศตวรรษ แสดงให้เห็นว่าเส้นทางเริ่มต้นของ ถนนเวีย โดโลโรซ่า ฝั่งเนินเขาตะวันตก สะท้อนความจริงของชีวิตได้อย่างชัดแจ้ง

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 2. Las Vegas Strip



ลาสเวกัส ตั้งอยู่ใน รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการขนานนามว่า “เมืองแห่งบาป” เพราะทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของธุรกิจการพนัน มีบ่อนคาสิโนเรียงรายตลอดเส้น เรียกว่าเป็นแหล่งการพนันของโลก ทั้งยังมีโรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ซึ่งตกแต่งสุดอลังการ รวมตัวกันมากมาย สร้างสีสันให้ Las Vegas เป็นเมืองแห่งแฟนตาซี

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 1. Champs-Elysées



ถนนช็องเซลีเซ หนึ่งในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีสและประเทศฝรั่งเศส เป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยโรงละคร คาเฟ่ และร้านค้าสุดหรู โดยมีอัตราค่าเช่าสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับพื้นที่ 1,000 ตารางฟุต (93 ตารางเมตร) สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นเกาลัดซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม นามว่า “ช็องเซลีเซ” มาจากคำว่า ”ทุ่งเอลิเซียม” จากเทพปกรณัมกรีกในภาษาฝรั่งเศส ด้วยความงดงามสุดอลังการของสถาปัตยกรรม มากมายด้วยแบรนด์ชั้นนำ เคล้าความหรูหรา มีชีวิตชีวาตลอดเส้น Champs-Elysées จึงได้รับการยกให้เป็น ถนนที่สวยที่สุดในโลก



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ฮือฮา ขุดเจอทองคำยักษ์ หนักกว่า 5.5 กิโลกรัม ในรัฐวิคตอเรีย


ฮือฮา ขุดเจอทองคำยักษ์ หนักกว่า 5.5 กิโลกรัม



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักสำรวจชายคนหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยตัว สร้างความฮือฮาให้กับวงการนักสำรวจและนักขุดทอง

เมื่อขุดพบก้อนทองคำยักษ์ ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 5.5 กิโลกรัม ถูกฝังอยู่ใต้ดินในรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย คิดมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท

โดยรายงานข่าวระบุว่า ชายคนดังกล่าวใช้เครื่องตรวจจับโลหะแบบถือด้วยมือที่มีความล้ำสมัย ตรวจพบก้อนทองคำดังกล่าว ซึ่งฝังอยู่ลึกประมาณ 60 เซนติเมตร โดยบริเวณดังกล่าวเคยมีผู้ขุดหาทองคำมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่พบ







กรุงเทพฯติดอันดับ 3 เมืองคนนิยมมาท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกปี 2012


เว็บไซต์ breakingnews.nationchannel รายงานล่าสุดว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ติดอันดับที่ 3 จาก 20 อันดับของนครใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากที่สุด เมื่อปี 2012 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ร่วมกับบริษัทบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด โดยในเว็บไซท์ของฟอร์บส์ ระบุว่า วัดอรุณราชวราราม ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งคาดว่า สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 12.2 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
ใน 3 อันดับแรก ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด ได้แก่ ลอนดอน ปารีส กรุงเทพฯ โดยกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ยังนำหน้าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในเรื่องของจำนวนนักเที่ยวและการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวอีกด้วย และยังได้รับการคาดหมายว่า จะแซงหน้ากรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ที่ครองอันดับนครหลวงที่มีนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินไปกับการท่องเที่ยวมากที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของโลกด้วย
แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเชื่องช้าไปทั่วโลก แต่จำนวนของคนที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง / มาสเตอร์การ์ด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ได้ยกให้กรุงลอนดอน เป็นผู้นำโลกใน 2 ด้านด้วยกัน คือ เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคาดว่า ในปีนี้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปยังกรุงลอนดอน มากถึง 16.9 ล้านคน และยังเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินเฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งทำให้ยอดการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวในปี 2012 สะพัดถึง 21,100ล้านดอลล่าร์ หรือราว 6 แสน 3 หมื่น 3 พันล้านบาท

ไม่ว่าจะเป็นในฐานะนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยว ผู้ที่ไปเยือนลอนดอนที่มาจากนครนิวยอร์คของสหรัฐ ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางมาไกลที่สุดและใช้จ่ายเงินมากที่สุด ส่วนนิวยอร์คยังคงรั้งอันดับสองของนครที่มีนักท่องเที่ยวไปใช้จ่ายเงินมากที่สุด รองจากลอนดอน ที่อาจอธิบายได้ว่า ภาษาต่างชาติทุกภาษาจะมีให้ได้ยินหมดที่ร้านแก๊ป

เมื่อข้ามมายังฝั่งของเอเชีย-แปซิฟิก / กรุงเทพฯยังคงทิ้งห่างชาติอื่น ในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยว รวมถึงความคาดหมายว่าจะโค่นกรุงปารีสจากอันดับ 3 ของโลก ในฐานะนครที่มีนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินมากที่สุดอีกด้วย ส่วนดูไบเมืองศูนย์กลางทางการเงินและการท่องเที่ยวของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังคงรั้งอันดับ 1ในจำนวน 10 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนครใหญ่ในตะวันออกกลางและแอฟริกา

ส่วนจีน สร้างประวัติศาสตร์กันเองภายในประเทศ ด้วยการที่นครเซี่ยงไฮ้ แซงหน้ากรุงปักกิ่งที่เป็นเมืองหลวง ขึ้นไปอยู่อันดับ 5 ของนครที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดเช่นเดียวกับที่สเปน ที่คนนิยมไปเที่ยวนครบาร์เซโลน่ามากกว่ากรุงมาดริด แต่ถึงกระนั้นกรุงมาดริด ก็ไม่ได้คลายมนตร์ขลังลงเสียทีเดียว

กรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี ก็ยังไม่สูญเสียมนตร์เสน่ห์ แม้ว่าความนิยมของการเป็นนครนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจะถดถอยไป ปล่อยให้กรุงโซล ของเกาหลีใต้ , กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย , นครแฟรงเฟิร์ต ของเยอรมนี และดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แซงหน้าไป ซึ่งเป็นไปได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญ

ในการจัดอันดับเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม 20 อันดับของโลก หรือ โกลบัล เดสติเนชั่น ซิตี้ส์อินเด็กซ์ ฟอร์ 2012 นี้ บริษัทบัตรเครดิต มาสเตอร์ การ์ด ใช้วิธีติดตามจากยอดการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยว
เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากสำหรับเมืองไทยของเราช่วยกันรักษาความเป็นไทยเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวให้มาก


คิวบา : แหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก

ใครที่เดินทางมาถึงคิวบาแล้วไม่ซื้อของสิ่งนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึง สินค้านั้นก็คือซิการ์ นั่นเอง ไปดูกันว่า เหตุใด คิวบาจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก


ประเทศคิวบาขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของเหล่าผู้สูบซิการ์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาคิวบานั้น ส่วนใหญ่มักจะซื้อซิการ์ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยสูบซิการ์ก็ตาม เพื่อเป็นการยืนยันว่า พวกเขาเดินทางมาเยือนคิวบาจริงๆ จนทำให้ความนิยมในซิการ์คิวบาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


โดยสถานที่ที่เราจะพาไปในวันนี้ คือโรงงานผลิตซิการ์ที่มีชื่อว่า Partagás ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮาวานา เมืองหลวงของประเทศ โรงงานแห่งนี้ เริ่มผลิตซิการ์มาตั้งแต่ปี 2388 ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับรู้ถึงขั้นตอนของการผลิตซิการ์อย่างละเอียด พร้อมกับชมเรื่องราวความเป็นมาของโรงงานอีกด้วย โดยความพิเศษของโรงงานแห่งนี้ ก็คือการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว และคอซิการ์ทั้งหลาย ได้ทดลองสูบซิการ์ที่ตนเองชื่นชอบ เพราะซิการ์ของที่นี่ มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบและรสชาติ ดังนั้น หากใครที่ไม่แน่ใจว่า ซิการ์ที่ตนซื้อไปแล้วจะมีรสชาติเป็นที่ถูกใจหรือไม่ ก็สามารถทดลองสูบได้ก่อน


พร้อมกันนี้ ทางโรงงานยังได้จัดสถานที่เอาไว้สำหรับผู้ที่สนใจทดลองสูบซิการ์โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ จะมีกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆเอาไว้ให้บริการ โดยนักท่องเที่ยว จะได้ทอดอารมณ์ไปกับการสูบซิการ์และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคอซิการ์คนอื่นๆ ระหว่างการทดลองสูบซิการ์อีกด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่มีความรู้เรื่องซิการ์มากนัก ทางโรงงานเขาก็ได้จัดเตรียมพนักงานเอาไว้ให้บริการ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสอบถาม และพูดคุยเรื่องซิการ์กับพวกเขาได้อย่างเป็นกันเอง


สำหรับราคาของซิการ์ที่โรงงาน Partagás นั้น ไม่ได้ถูกหรือแพงกว่าราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมากนัก ซึ่งซิการ์ที่มีราคาสูง ส่วนใหญ่จะเป็นซิการ์ที่มีคุณภาพดีกว่าซิการ์ทั่วๆไป แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากใครที่ต้องการจะซื้อซิการ์ที่นี่ ควรศึกษาหาข้อมูล หรือจดชื่อของซิการ์ที่ต้องการซื้อมาก่อน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว คุณจะกลายสภาพเป็นเด็กน้อย ที่เพิ่งเข้าร้านลูกกวาดเป็นครั้งแรก เพราะว่าเห็นอะไรคุณก็ต้องการจะซื้อเอาไว้ก่อน อาจจะทำให้เงินในกระเป๋าหมดโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้


จากโรงงานซิการ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศคิวบาแล้ว เราขอพาคุณผู้ชมมาช็อปปิ้งต่อที่ร้านจำหน่ายซิการ์ชื่อดังอย่าง La Casa Del Habano ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านซิการ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในโลก ร้านจำหน่ายซิการ์แห่งนี้ มีสาขามากถึง 9 แห่งในประเทศคิวบา และยังมีสาขาทั่วโลกอีกมากมาย ซึ่งแต่ละสาขาก็จะมีการตกแต่งภายในที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นความหรูหราสะดวกสบาย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาแวะชม และถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก รวมถึงทดลองสูบซิการ์รสชาติต่างๆ ไปพร้อมๆกับการดื่มเครื่องดื่มมากมายหลายชนิดที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ ซึ่งจากรีวิวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เคยเดินทางมาเยือนร้าน La Casa Del Habano ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆนั้น ต่างก็ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้านจำหน่ายซิการ์ร้านนี้ คือสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบซิการ์อย่างแท้จริง


เอเชียจะเป็นผู้นำโลกแทนสหรัฐฯ-ยุโรปในปี 2030




ทางการสหรัฐฯประเมินว่าเอเชียจะมีอิทธิพลในการเมืองโลกแทนที่สหรัฐฯและยุโรปภายในปี 2030 ขณะที่จีนก็จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแทนสหรัฐฯภายในอีก 20 ปีข้างหน้า

สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIC ออกรายงานที่มีชื่อว่า Global Trend 2030 ซึ่งเป็นรายงานการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ทาง NIC จะออกทุกๆ 4 ปี โดยระบุว่าภายในปี 2030 หรือพุทธศักราช 2573 กลุ่มประเทศในเอเชียจะมีอิทธิพลในการเมืองโลกมากกว่าสหรัฐฯและยุโรปรวมกัน

โดย NIC ให้เหตุผลว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่เศรษฐกิจของยุโรปและรัสเซียที่มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชาติในเอเชียมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของทั้งประชากร ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือ GDP การใช้จ่ายทางการทหาร รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ

นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุอีกว่า ในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแทนที่สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เอเชียกลายเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของโลก ถึงแม้ว่าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของเอเชียจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจเสื่อมถอยเช่นเดียวกับยุโรป

อย่างไรก็ตาม นายแมททิว เบอโรว์ ที่ปรึกษาสภาข่าวกรองแห่งชาติกล่าวย้ำว่า การที่จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ได้หมายความว่าจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจโลกในรูปแบบเดียวกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านของการแสวงหาพันธมิตรเพื่อสร้างอิทธิพลในประเด็นระหว่างประเทศต่างๆ


ทั้งนี้ Global Trend 2030 ยังมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจการเมืองโลกอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่สหรัฐฯจะพึ่งพิงพลังงานภายในประเทศได้อย่างสมบูรณ์ภายใน 20 ปีข้างหน้า หรือการที่ปัญหาประชากรสูงอายุ การขยายตัวของชนชั้นกลาง และทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง จะกลายเป็นความท้าทายหลักของรัฐบาลทั่วโลก



Alcatel เปิดตัว One Touch Idol Ultra สมาร์ทโฟนบางที่สุดในโลก



แบรนด์ Alcatel จะเปิดตัวสมาร์ทโฟน ในตระกูล One Touch Pop ทั้งหมด 4 รุ่นแล้ว ยังได้เปิดตัว แอนดรอยด์โฟน อีก 3 รุ่น นั่นก็คือ Alcatel One Touch Idol, Alcatel One Touch Idol Ultra และ Alcatel One Touch Scribe HD

โดย Alcatel One Touch Idol มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 4.7 นิ้ว แบบ IPS Display มาพร้อมระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor ความเร็ว 1.2GHz และกล้องดิจิตอลด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องดิจิตอลด้านหน้า มีความละเอียดอยู่ที่ 2 ล้านพิกเซล ซึ่งมีจุดเด่นคือ น้ำหนักเบาเพียง 110 กรัม



ส่วน Alcatel One Touch Idol Ultra นั้น มีจุดเด่นตรงที่ เป็นสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดในโลก เพียง 6.45 มิลลิเมตร ส่วนสเปคนั้น คล้ายกับ One Touch Idol นั่นก็คือ หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ HD AMOLED display, ระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor ความเร็ว 1.2GHz, กล้องดิจิตอลด้านหน้า มีความละเอียดอยู่ที่ 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องดิจิตอลด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และรันระบบปฏิบัติการ Android Jelly Bean



สุดท้าย Alcatel One Touch Scribe HD เป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ 5 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล มาพร้อมกับระบบประมวลผล MediaTek MT6589 quad-core ความเร็ว 1.2GHz, กล้องดิจิตอลด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4GB (รองรับ microSD card)

สำหรับราคา และวันวางจำหน่ายของสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่น ยังไม่เปิดเผย



การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6








หลักฐานทางธรณีวิทยาระบุว่า เมื่อประมาณ ๔๔๐ ล้านปีมาแล้วได้มีเหตุการณ์ทำลายล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอย่างขนานใหญ่ เพราะโลกต้องประสบภาวะเย็นจัดในยุคน้ำแข็ง โดยในยุคนั้นส่วนที่เป็นทะเลทราย Sahara ยังอยู่ที่บริเวณขั้วโลกใต้ และเมื่อขั้วโลกใต้มีพื้นที่มากมันก็สามารถรองรับน้ำแข็งได้มาก น้ำแข็งที่มีปริมาณมากนี้ได้ทำให้กระแสน้ำในมหาสุมทรและกระแสลมในอากาศทั่วโลกมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก และเมื่อน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำแข็งมากขึ้น ๆ ระดับน้ำในทะเลก็ลด มีผลทำให้พื้นที่ตามบริเวณริมฝั่งถูกทำลาย และร้อยละ ๘๕ ของสิ่งมีชีวิตขณะนั้นต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด



มนุษย์ได้บริโภคผลผลิตสุทธิทั้งหมดของการสังเคราะห์แสงบนพื้นโลกไปประมาณร้อยละ 40 ทั้งทางตรงและทางอ้อม กิจกรรมหรือการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยของมนุษย์ทำให้โลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งความไร้เสถียรภาพอาจจะผลักดันให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ได้เนื่องจากความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ยุคใหม่โดยเฉพาะยุคแห่งเทคโนโลยี ในประวัติศาสตร์ 1,500 ล้านปีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ กรณีการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ศึกษาได้จากฟอสซิลนั้นเกิดขึ้นหลังจากมีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์โดยมีลำดับดังนี้ (ให้ดูภาพวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วย)



ครั้งที่ 1 การสูญพันธุ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในกือบจะช่วงปลายยุคแคมเบรียน (Cambrian) ประมาณ 505 ล้านปีมาแล้ว



ครั้งที่ 2 การสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่เกิดในปลายยุค ออร์โดวิเชียน (Ordovician) เมื่อประมาณ 438 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่มีสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ทั้งหมดอาศัยอยู่ในทะเล



ครั้งที่ 3 การสูญพันธุ์ครั้งสำคัญเช่นกันเกิดขึ้นเมื่อปลายยุคดีโวเนียน (Devonian) ประมาณ 360 ล้านปีที่ผ่านมา



ครั้งที่ 4 การสูญพันธุ์ครั้งที่รุนแรกที่สุดในบรรดากรณีสูญพันธุ์ครั้งสำคัญๆ ทั้งหมดที่สำรวจได้เกิดขึ้นในช่วง 10 ล้านปีสุดท้ายของยุคเปอร์เมียน (Permian) ประมาณ 248-238 ล้านปีมาแล้ว นักบรรพชีวินวิทยาประมาณว่าร้อยละ 96 ของชนิดสิ่งมีชีวิตในทะเลสูญพันธุ์ไปในช่วงนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตบนโลกอย่างถาวร



ครั้งที่ 5 ประมาณ 65 ล้านปีมาแล้ว ในช่วงท้ายของยุคครีเตเชียส(Cretaceous) การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นอีก เหตุการณ์นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์น้อยขนาดมหึมาซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน (Yucatan) อ่าวเม๊กซิโก เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในทะเลจำนวนมาก และทำลายชนิดของสิ่งมีชีวิตบนบกไป 2 ใน 3 ส่วน สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สิ้นสุดไปในยุคนี้เช่นกัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดที่เหลืออยู่นั้นไม่มีชนิดใดที่ขนาดใหญ่กว่าแมวบ้านและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลักบนบกในเวลาต่อมาขณะเดียวกันสัตว์จำพวกนก สัตว์เลื้อยคลานยุคใหญ่ พืช และแมลง เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายมากมาย



จาก 65 ล้านปีในอดีตจนถึงปัจจุบัน จำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืช สัตว์ รา จุลินทรีย์ บนโลกได้เพิ่มจำนวนชนิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และมีชุมชนของสิ่งมีชีวิตบนบกที่ซับซ้อนมากขึ้น ในช่วงเวลาของมนุษย์จีนัส โฮโม น่าจะมีชนิดของสิ่งมีชีวิตประมาณ 10 ล้านชนิด เป็นชนิดของสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณร้อยละ 15 ที่เหลือเป้นสิ่งมีชีวิตบนบกและในน้ำจืด ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีชนิดของสิ่งมีชีวิตมากกว่านี้อีกเลย



เมื่อบรรพบุรุษของเราพัฒนาการเกษตรขึ้นมาเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา มีประชากรมนุษย์หลายล้านคนในช่วงเริ่มคริสตกาล จำนวนประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอีก และเมื่อค.ศ. 1950 มีประชากร 2.5 พันล้านคน ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์



การสูญเสียทางชีวภาพ คือ การสูญหายไปอย่างถาวรของชนิดของสิ่งมีชีวิต เป็นลักษณะเด่นของชีวิตบนดาวดวงนี้มาตลอด ประมาณ 10 ล้านชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นเพียงส่วนประกอบน้อยนิดประมาณร้อยละ 1 ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ จำนวนมากมายหลายร้อยล้านชนิดที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกอดีตกาล โดยเฉพาะในช่วงเวลา 600 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลากหลายมากจนถือว่าเป็นยุคทองของสิ่งมีชีวิตก็ได้ อย่างไรก็ตามการสูญพันธุ์แบบตลอดกาลหรือการสูญพันธุ์แบบชั่วคราวที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้เป็นการเผชิญหน้ากับอัตราการสูญพันธุ์ที่มากกว่าที่เคยมีมาในอดีต เป็นเพราะเหตุใด



จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อัตราการบริโภคต่อคนเพิ่มขึ้นรวมทั้งการใช้เทคโนโลยี ได้ทำให้สิ่งแวดล้อมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง แม้ว่า 1 ใน 5 ของจำนวนพลโลกทั้งหมด 6 พันกว่าล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรืออีกหลายประเทศในยุโรป พวกเขาเหล่านี้ได้ใช้ผลิตผลของโลกไปประมาณ 4 ใน 5 ของทั้งหมดไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม และไม่ได้มีส่วนในสำคัญต่อความยั่งยืนของชีวาลัย ทำให้เกิดการไม่สมดุลกัน ขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจากค.ศ. 1950 มี 2.5 พันล้านคน จนขณะนี้มีประมาณ 6 พันกว่าล้านคน 1 ใน 5 ของดินชั้นบนถูกปล่อยให้รกร้างจนไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ร้อยละ 50 ของพื้นที่เกษตรบนโลกเคยเป็นดินชุ่มน้ำ กลายเป็นดินเค็ม หรือทะเลทราย ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มขึ้น 1 ใน 5 โอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์หายไปร้อยละ 6 ถึง 8 และประมาณ 1 ใน 3 ของป่าไม้ทั้งโลกถูกตัดโดยไม่มีการปลูกทดแทน

ธรรมชาติย่อมมีสมดุลเสมอ การเพิ่มความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตจึงถูกกำจัดโดยธรรมชาติ เช่น การสูญพันธุ์ ตามธรรมชาติส่งมีชีวิตอาจมีการสูญพันธุ์ได้ตลอดเวลาที่โลกมีการเปลี่ยนแปลง อัตราการสูญพันธุ์จะมีน้อยกว่าอัตราการเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องพึ่งพาอาศัยกัน การสูญพันธุ์ในอดีต เกิดจากกระบวนการธรรมชาติบางอย่าง เช่น ภัยธรรมชาติ ผู้ล่า โรคภัยไข้เจ็บ ความแออัด การแก่งแย่ง แต่ในปัจจุบันสาเหตุที่สำคัญเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ คือ หนึ่ง การสูญเสียที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติจากการตัดต้นไม้ทำลายป่า สอง สภาวะดินหมดสภาพ ความแห้งแล้ง สาม เทคโนโลยีการสร้างเขื่อนทำให้สูญเสียพืช และสัตว์เป็นจำนวนมาก สี่ การล่าจากมนุษย์และการถูกคุกคามจากสิ่งมีชีวิตจากต่างแดนที่ขยายพันธุ์มากจนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น ในระบบนิเวศที่สมดุลการสูญเสียสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งอาจมีผลถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ อย่างต่อเองเป็นลูกโซ่มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี นักชีววิทยาได้ประมาณการณ์ว่าการสูญพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งสามารถส่งผลกระทบให้มีการสูญเสียแมลงและสัตว์อื่นในระบบนิเวศเดียวกันได้หลายชนิด อาจถึง 30 ชนิดก็ได้ แต่ผลอาจจะไม่ปรากฎชัดในทันทีทันใดกว่าจะปรากฎชัด บางทีก็สายไปแล้วเกินกำลังที่จะแก้ไข



จากการรวบรวมข้อมูลจาก World Cinservation Union (WCN) ได้ทำการรวบรวมรายชื่อของสิ่งมีชีวิตที่กำลังถูกคุกคาม และอยู่ในสถานะที่ล่อแหลมอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์อยู่ในบัญชีรายชื่อที่เรียกว่า บัญชีแดง "Red List" จากข้อมูลล่าสุดจำนวนสัตว์ที่ตกอยู่ในสภาวะอันตรายต่อการสูญพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 5,435 ชนิดในปัจจุบัน



เราลองมาประเมินอัตราการสูญพันธุ์ดู อดีต อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 1 ชนิด (สปีชี) นั่นหมายถึงว่า ไม่ใช่ว่าในธรรมชาติจะไม่สูญพันธุ์เลย ปัจจุบัน อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตามสภาพการเปลี่ยนเเปลงของสิ่งแวดล้อมยุคใหม่เกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วหลายพันเท่าของในอดีต การสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วเกิดขึ้นในพวกที่อาศัยอยู่ในป่าชื้นเขตร้อนประเมินอัตราสูญพันธุ์ประมาณวันละ 1 ชนิดในช่วงปี ค.ศ. 1970 และเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 1 ชนิด ในช่วงปีค.ศ. 1980 หรืออีก 10 ปีถัดมา คือ เพิ่มเป็น 24 เท่าในช่วงระยะเพียง 10 ปีเท่านั้นเอง ทั้งนี้มีการทำลายป่าไม้ในเขตร้อนอย่างมากมายในช่วง 20 ปีกว่าที่ผ่านมา จะเป็นเพราะการยังชีพในการทำเกษตร หรือเพื่อธุรกิจ หรือวิถีการดำรงชีวิตที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นก็ตาม หากการสูญพันธุ์ยังอยู่ในอัตรานี้เชื่อว่าภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 จะมีการสูญพันธุ์ไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 20-50



From : 

10 ภาพอินสตาแกรมรวมเหตุการณ์ของปี 2012





ภาพจากเว็บไซต์แบ่งปันภาพถ่ายที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่าง อินสตาแกรม (Instagram) เสนอ 10 ภาพอันดับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในปี2012



(28 ธ.ค.) เว็บไซต์ต่างประเทศ "เดลี่เมลล์" ประเทศอังกฤษ นำเสนอภาพจากเว็บไซต์แบ่งปันภาพถ่ายที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นสื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2012 อย่าง อินสตาแกรม (Instagram)ซึ่งผู้ใช้สามารถแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาได้ทันที

เว็บไซต์อินสตาแกรมได้รวบรวมภาพจากบางส่วนของโลก 10 อันดับเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกถ่ายโดยผู้ใช้อินสตาแกรมกว่า 100 ล้านคน อาทิภาพ ภาพรถถูกคลุมน้ำแข็งทั้งคัน ภาพนี้เกิดขึ้นในแถบยุโรป ต่อด้วยภาพสาวน้อยที่น่ารักเลียนแบบเทพีเสรีภาพจากไฮไลท์วันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ต่อด้วยการวิ่งกระทิงในประเทศสเปน และเหตุการณ์ที่ทั้งโลกต้องจับตาดู คือพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกปี 2012อย่างยิ่งใหญ่ ณ กรุงลอนดอน

ภาพที่ 5 มาจากการแสดงยานอวกาศขนาดใหญ่บรรทุกกระสวยอวกาศจากเท็กซัสไปยังแคลิฟอร์เนียในวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ภาพที่ 6 คือเวิลด์ซีรีส์ที่ทีมไจแอนต์ชนะดีทรอยต์ ไป 4-5
ภาพที่ 7 การเดินทางของชาวมุสลิมประกอบพิธีฮัจญ์ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย ภาพที่ 8 พายุเฮอริเคนของแซนดี้ ซัดคลื่นเข้าม้านั่งและทางเท้าริมแม่น้ำฮัดสัน ซึ่งความจริงภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับพายุเฮอริเคนแซนดี้ถูกอัพโหลดมากกว่า 800,000 รูป ขณะเกิดเหตุการณ์อยู่ ภาพที่ 9 ฝูงชนมองการถ่ายทอดผ่านจอยักษ์ริมถนน ในวันที่ 6 พ.ย. ประธานาธิบดีบารักโอบาชนะการเลือกตั้ง และเดินทางไปยังทำเนียบขาว และภาพที่ 10 ม็อบกว่า 300,000 คน ประท้วงรัฐบาล ในบัวโนสไอเรส.






















10 อันดับ สาวเอเชียเซ็กซ์จัด


 











ขึ้นชื่อว่า "เซ็กซ์" ไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างก็มีความต้องการด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เรามี 10 อันดับ สาวเอเซียเซ็กซ์จัดมานำเสนอกัน เป็นผลการสำรวจเรื่อง "ความสุขสมแห่งสัมผัสรัก ในอุดมคติของชาวเอเชีย" โดย บริษัท ไฟเซอร์ ซึ่งมีการสำรวจจำนวนครั้งโดยเฉลี่ยของการมีเพศสัมพันธ์ในรอบหนึ่งเดือนพบว่า
- ผู้หญิงอินเดียมีความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ต่อเดือนมากที่สุด อยู่ที่ 8.7 ครั้ง

- อินโดนีเซียและมาเลเซีย 6.8 ครั้ง

- ไต้หวัน 6.3 ครั้ง

- จีน 6 ครั้ง

- ไทยอยู่ที่ 5.7 ครั้ง

- ฟิลิปปินส์ 5.6 ครั้ง

- สิงคโปร์ 5.5 ครั้ง

- ฮ่องกง 4.8 ครั้ง

- เกาหลีใต้ 4.3 ครั้ง

สำหรับ ผลสำรวจในครั้งนี้ มีการสำรวจระหว่างเดือนตุลาคม 2553 ถึง เดือนมกราคม 2554 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงที่มีกิจกรรมทางเพศในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา อายุระหว่าง 31-74 ปี จำนวน 3,282 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 1,658 คน ผู้หญิง 1,624 คน

ส่วน ในกลุ่มผู้ชาย พบว่า ผู้ชายอินโดนีเซียมีความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุดในเอเชีย อยู่ที่ 9.8 ครั้ง รองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ 9.4 ครั้ง อินเดีย 8.8 ครั้ง ส่วนชายไทยนั้นอยู่ในระดับกลางค่อนข้างสูง คือ 7.7 ครั้ง ตามด้วยไต้หวัน 6.9 ครั้ง มาเลเซีย 6.6 ครั้ง ฮ่องกง และสิงคโปร์ 5.2 ครั้ง รั้งท้ายด้วยเกาหลีใต้ 4.4 ครั้ง





Ohh ,my godเครื่องดูดฝุ่นทองคำแพงที่สุดในโลก!!!!!



เว็บไซต์จำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา เปิดตัว “เครื่องดูดฝุ่นแพงที่สุดในโลก” ซึ่งมาพร้อมทองคำ 24เค และมีค่าตัวสูงถึง $1,000,000 หรือกว่า 31.5 ล้านบาท เว็บไซต์ “โก แวคคัม (GoVacuum)” ผู้จำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นและอุปกรณ์ แนะนำสินค้าใหม่สุดฮือฮา ภายใต้ชื่อ ”GoVacuum GV62711″ ซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่นชุบทองคำ 24เค ที่มาพร้อมความหรูหรา ทรงพลัง และประสิทธิภาพในการทำความสะอาดอันน่าทึ่ง สามารถขจัดเศษวัสดุ ขนสัตว์ ขี้ฝุ่น และสิ่งสกปรกได้อย่างง่ายดายทุกซอกทุกมุม ด้วยพลังดูดที่เหนือกว่าจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 แอมแปร์

เครื่องดูดฝุ่นดังกล่าวมีหัวแปรงกว้าง 14 นิ้ว มาพร้อมถุงเก็บฝุ่นละอองและแผ่นกรอง HEPA สามารถตั้งค่าการทำงานได้หลายรูปแบบ ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา รับประกันคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน แต่จะเปิดให้สั่่งจองในช่วงเวลาจำกัด และจะจำหน่ายเพียง 100 เครื่องเท่านั้น (ทุกเครื่องมาพร้อมซีเรียลนัมเบอร์ และใบรับประกัน)

หากมีผู้สั่งซื้อ เว็บไซต์ “โก แวคคัม” จะทำการออกแบบลวดลายหรือใส่ลายละเอียดต่างๆ ลงบนตัวเครื่องตามคำสั่งของลูกค้า ก่อนที่จะส่งเครื่องดูดฝุ่นโลหะ (ที่ผลิตในประเทศจีน) ไปชุบทองคำ (ในอเมริกา) เพื่อเพิ่มความหรูหรา หลังจากนั้นจึงจัดส่งให้ลูกค้า (ส่งฟรีทั่วโลก) รวมเบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน



แม้จะถูกนำมาเปิดตัวด้วยสนนราคาหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 31.5 ล้านบาท แต่ราคาจำหน่ายหน้าเว็บอยู่ที่ $999,999 (ประหยัด 1 เหรียญ) และนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นขำๆ เพราะเว็บไซต์ ”โก แวคคัม” ยืนยันว่านี่เป็นราคาพิเศษช่วงแนะนำ ทั้งยังบอกด้วยว่าการเปิดตัวตัวเครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้ไม่ใช่แผนโปรโมทเว็บไซต์ แต่ต้องการจำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นราคาหนึ่งล้านเหรียญจริงๆ ถ้าไม่เชื่อ (และมีเงินในกระเป๋า) ให้ลองสั่งซื้อดู เพราะทางเว็บฯ มีของรออยู่แล้ว เหลือแค่การออกแบบ สลักชื่อ เครื่องหมาย หรือลวดลายตามความต้องการของลูกค้า และนำเครื่องดูดฝุ่นไปชุบทองคำเท่านั้น




ทำไมหอยจึงอยู่ในทราย

โดยธรรมชาติของหอย ที่ยังมีชีวิตอยู่ มันมักจะอาศัยอยู่ในทราย เพราะบรรดาหอยที่อยู่แถวทะเลนั้น จะมี
ศัตรูตัวฉกาจคือ ปลาดาว ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเอง มันจึงต้องหลบอยู่ในทราย
บนพื้นทรายที่หอยอาศัยหลบอยู่นั้น จะมีรูอยู่รูหนึ่ง เอาไว้สำหรับการกินอาหารและขับถ่าย ซึ่งอาหารของ
หอยก็จะเป็นพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
หอยจะดูดเอาน้ำทะเลเข้าไป เมื่อกินสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เป็นอาหารของมันเรียบร้อยแล้ว มันก็จะขับถ่ายน้ำนั้น
ออกมา





















การเขียนคำนำของรายงาน



 วันนี้มีเรื่องคํานํารายงานตอนทำรายงานมาฝากกัo หลายคนๆคงมีปัญหาว่าจะมีวิธีการเขียนคํานํายังไง คิดไม่ออก

วันนี้เรามีคำแนะนำมาให้เป็นแนวทางกัน ลองดู ไม่ยากเลย

เริ่มจาก สิ่งสำคัญที่ควรเลี่ยงในการเขียนคํานํา ได้แก่

- ไม่เอาประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้วมาเป็นคำนำ
- ไม่เขียนอธิบายโดยหาจุดหมายของเรื่องไม่พบ
- ไม่เขียนคำนำด้วยคำบอกเล่าอันเกินควร

ต่อมาก็ คํานํารายงานที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้

- เขียนคำนำด้วยคำพังเพยหรือสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
- เขียนคำนำโดยการอธิบายความหมายของเรื่อง
- เขียนคำนำโดยขึ้นต้นด้วยคำกล่าวของบุคคลสำคัญ
- เขียนคำนำด้วยการเล่าเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยคำถามหรือปัญหาที่สนใจ
- เขียนคำนำด้วยการอธิบายชื่อเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยคำกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องที่เขียน
- เขียนคำนำด้วยการกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เขียน
ดังนั้น คำนำที่ดีต้องเป็นความคิดใหม่ ความคิดแปลก หรือความคิดสนุก ต้องมีลักษณะนำ หรือเชิญชวนให้ผู้อ่าน อ่านเรื่องของเราให้จบให้ได้ คำนำจึงเป็นส่วนสำคัญในการเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านตั้งแต่เริ่มต้นอ่าน เรื่อง และดึงดูดใจให้อ่านเรื่องไปตลอด

*ข้อมูลจากราชบัณฑิตยสถาน

หลังจากรู้ สิ่งสำคัญที่ควรเลี่ยงในการเขียนคํานําและคํานํารายงานที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรแล้ว ที่นี้ก็สามารถเขียนคํานํารายงานได้ง่ายขึ้นแล้ว

10 ประเทศที่มี 7 Eleven มากที่สุด

เซ เว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส มลรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโดซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา

ในส่วนของประเทศไทย แฟรนไชส์ เซเว่น อีเลฟเว่น บริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (เดิมคือ บมจ. ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้ลงนามในสัญญา ซื้อสิทธิการประกอบกิจการ จากเจ้าของสิทธิ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531

เซ เว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือ สาขาถนนพัฒน์พงศ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงษ์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 6,600 สาขา (ข้อมูล สิงหาคม พ.ศ.2555 ปัจจุบัน 2556 คงมีเยอะกว่านี้แน่ๆ) เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 3,000 สาขา ซึ่ง ถือว่ามากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,000 บาท ต่อวันต่อสาขาซึ่งเป็นธุรกิจที่ำทำกำำไรดีต่อวันมากที่สุดของประเทศไทย

สำหรับประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุดคือ

อันดับ 10 ประเทศสิงคโปร์ มี 435 สาขา

อันดับ 9 ประเทศแคนาดา มี 462 สาขา

อันดับ 8 ประเทศสหรัฐอเมริกา มี 586 สาขา

อันดับ 7 ประเทศเม็กซิโก มี 969 สาขา

อันดับ 6 ประเทศมาเลเซีย มี 1,013 สาขา

อันดับ 5 ประเทศจีน มี 1,440 สาขา

อันดับ 4 ประเทศเกาหลีใต้ มี 1,995 สาขา

อันดับ 3 ประเทศไต้หวัน มี 4,800 สาขา

อันดับ 2 ประเทศไทย มี 6,600 สาขา

อันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น มี 12,105 สาขา




วลีเด็ดFacebookแห่งปี 2555


วลีเด็ดแห่งปี 2553 (2012) เกิดขึ้นมากมายในสังคมออนไลน์ คำบางคำเป็นกระแสที่ฮอตกลายเพียงข้ามคืนเท่านั้น ครูบ้านนอกดอทคอม เก็บตกมาจากเว็บไซต์ สนุก.คอม โดยทีมงาน Sanook! News ประมวลมาให้คลายเครียดกันอีกรอบ ครับ


จนกระทั่งธนูปักที่เข่า วลีฮิตที่โด่งดังกลายเป็นไฟลามทุ่งจากปลายปี 2554 ลากยาวมาถึงต้นปี 2555 บรรดาชาวเน็ตมีการเขียนในเชิงสนุกสนานล้อเล่นอย่างกว้างขวางทั้งเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ วลีนี้มาจากเกมออนไลน์ชื่อว่า Skyrim เป็นบทพูดของ NPC ที่พูดไว้ว่า "เมื่อก่อนฉันก็เคยเป็นนักผจญภัยแบบคุณแหละ จนกระทั่งฉันโดนธนูปักที่หัวเข่าเลยต้องมาเป็นยามแบบนี้" กลายเป็นมุขที่หลายคนนำมาเล่นต่อ อาทิ "เมื่อก่อนฉันเคยสวย จนกระทั่งธนูปักที่เข่าเลยเป็นแบบนี้" ฯลฯ




เป็ดพ่นไฟ กระแสฮิตคำนี้เกิดในเดือนมิถุนายน ชาวเน็ตต่างรู้จักกันดีกับวลี "เป็ดพ่นไฟ" ที่มาที่มาจากคลิปดังในประเทศจีน ภาพปรากฏเป็นฝูงเป็ดจำนวนหนึ่งอยู่ในเล้า ซึ่งเป็ดที่อยู่ในเล้านั้นสามารถพ่นไฟออกมาจากก้นได้ และเป็ดที่พ่นไฟจากก้นสามารถบินได้คล้ายกับจรวด สร้างความฮาให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก วลีเป็ดพ่นไฟ ถูกให้คำนิยามคือ "สุดยอด" เพราะการที่เป็ดพ่นไฟจากก้นได้มันไม่ธรรมดาและมันเหนือคำบรรยายนั่นเอง เรียกว่าฮิตมากจนถึงขั้นมีแฟนเพจในเฟซบุ๊คเป็นของตัวเอง


เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่ กลายเป็นประโยคฮิตข้ามคืนของเดือนเมษายน จากเด็กคนหนึ่งที่เกิดอาการคับแค้นใจที่ถูกเพื่อนร่วมชั้นขับออกจากกลุ่มในเว็บไซต์เฟชบุ๊ก จนเจ้าตัวบันทึกคำพูดเป็นวิดีโอก่อนจะเผยแพร่ผ่านทางยูทูป มีเนื้อความน้อยใจเพื่อน ๆ และข่มขู่เพื่อนๆ ว่า "เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่" จนกระทั่งคลิปดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่โชเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งเฟชบุ๊กและทวิตเตอร์เพียงในเวลาไม่นานประโยคดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว ชาวเน็ตนำมาล้อเลียนกันแบบขำขำ


มีวันนี้เพราะพี่ให้ เป็นคำกล่าวของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เกิดภาพที่อยู่ในห้องทำงานของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้แขวนภาพถ่ายของตนเองคู่กกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ประดับยศและจับมือแสดงความยินดี โดยมีลายมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนบนรูปว่า "ขอแสดงความยินดีกับแจ๊ดน้องรัก ขอให้มีความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นที่รักของประชาชนและเพื่อนตำรวจ รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (29 มิ.ย.55) และในป้ายได้มีข้อความเขียนไว้ว่า "มีวันนี้เพราะพี่ให้" กลายเป็นวลีฮิตข้ามคืนเลยทีเดียว บรรดาชาวเน็ตคอการเมืองต่างนำประโยคนี้ไปล้อเลียนแบบขำขำ


ประชาชนคิดไปเอง เป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เกิดจากปัญหาสินค้าราคาแพง ภาวะข้าวของขึ้นราคาจนชาวบ้านร้องโอดตรวญกันเป็นแถว จนสุดท้ายนายกฯ ปู ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงประเด็นดังกล่าวว่า ราคาสินค้านั้นมีแนวโน้มลดลงแล้วแต่อาจจะไม่ได้อยู่ในจุดที่ทุกคนพอใจ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาประชาชนประสบกับน้ำท่วมและช่วงนี้อากาศร้อน อาจทำให้ชาวบ้านคิดไปเองว่าของแพง ซึ่งประโยคนี้นั่นเอง กลายเป็นวลีฮอตทันทีหลายคนหยิบขึ้นมาล้อเลียนต่างกรรมต่างวาระ


แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. (เงียบสงสัยไม่ช็อต) วลีฮิตข้ามคืนในโลกออนไลน์ ที่เกิดจากหนุ่มวัยกลางคนรายหนึ่ง ส่งข้อความสนทนาทางเฟซบุ๊คกับสาวหน้าตาดีว่า "แก่ ใจดี สปอร์ต กทม" โดยบอกว่าอยากช่วยจ่ายค่าผ่อนคอนโดหรือค่าผ่อนรถให้ แต่ผู้หญิงไม่เล่นด้วยและนำออกมาแฉ จนทำให้ประโยคดังกล่าวกลายเป็นวลีฮิตข้ามคืน หลายคนหยิบมาใช้สนทนากับเพื่อนในสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย พร้อมกับประโยคเด็ดที่ตามมาอีกว่า เงียบ...สงสัยไม่ช็อต เรียกว่าสร้างสีสันให้กับชาวเน็ตเป็นอย่างมาก



เนยรักโลก เป็นประโยคเด็ดสด ๆ ร้อน ๆ จากทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า เนยซุปเปอร์มาเก็ต @NoeyZupermarket ทวิตเตอร์โชว์เด็กหญิใส่ชุดนักเรียนผูกคอซอง พร้อมกับประกาศว่า เนยรักโลก ไม่กินผักเพราะเป็นการทำลายป่าไม้ ซึงภายใน 4 เธอ ทวิตเตอร์นี้มียอดฟอลโล่สูงถึง 2 หมื่นกว่าคน หลายคนให้ความสนใจเธอเป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอได้โพสต์ข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับการรักโลกของเธอ ชาวเน็ตต่างเข้าไปมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา ถึงในแง่บวกและด้านลบ แต่เธอก็ไม่แคร์ยังคงตอบคำถามทุกคำถามพร้อมลงท้ายด้วยว่า "เนยรักโลกค่ะ"





From : http://www.kroobannok.com/55122

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

หุ่นขี้ผึ้ง “Steve Jobs” เตรียมจัดแสดงที่ไทยแลนด์


หุ่นขี้ผึ้ง “Steve Jobs” เตรียมจัดแสดงที่ไทยแลนด์
ถ้าคุณอยากเจอสตีฟ จอบส์ แบบตัวเป็นๆ วิธีที่ดีที่สุดคือการไปดูหุ่นขี้ผึ้ง สตีฟ จอบส์ ที่เหมือนจริงของพิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซ่ ซึ่งได้ปรากฏตัวที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ได้เวลาที่หุ่นขี้ผึ้งสตีฟ จอบส์ จะมาปรากฏตัวที่จีนให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ได้ชื่นชมกับอัจฉริยะผู้นี้กันบ้าง
หุ่นขี้ผึ้งสตีฟ จอบส์ จะจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ในเซี่ยงไฮ้เป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้นก็ได้ฤกษ์ที่จะย้ายมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ ประเทศไทย ให้ชาวไทยได้ชื่นชมกันบ้างแล้ว ใครที่รอจะพบสตีฟ จอบส์ ก็ติดตามข่าวให้ดีๆ เดี๋ยวคงมีข่าวในไทยให้ได้ยินกันเร็วๆ นี้แน่นอน




From : http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=17801

สุดยอด แท็บเล็ตงอได้บางเหมือนกระดาษ กับ Paper Tab


สุดยอด แท็บเล็ตงอได้บางเหมือนกระดาษ กับ Paper Tab หน้าจอ 10.7 นิ้ว
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้ถูกนำไปแสดงภายในงาน CES 2013 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือ Paper Tab แท็บเล็ตหน้าจอขนาด 10.7 นิ้วที่มาพร้อมกับคอนเซ็บของความบางและความยืดหยุ่นเหมือนกระดาษ
Paper Tab นี้ถูกพัฒนาโดยบริษัท Plastic Logic ซึ่งได้ร่วมมือกับบริษัท Intel และมหาวิทยาลัยควีน คิดค้นและพัฒนา Paper Tab ขึ้นมา โดยเวอร์ชั่นของตัว Prototype นั้นถูกนำไปแสดงให้เห็นกันครั้งแรกภายในงาน CES 2013 ซึ่งมีการใช้ CPU Sandy Bridge-era Core i5 ตัวเครื่องมีคุณสมบัติบางเบาคล้ายกระดาษ ทั้งยังสามารถยืดหยุ่นหน้าจอหรือโค้งงอได้ ในเบื้องต้นตัวแท็บเล็ตนอกจากจะสามารถแสดงผลสำหรับการอ่าน e-book ได้ดีแล้ว ยังมีความสามารถในการนำไปสัมผัสกับเครื่องอื่นเพื่อแชร์ไฟล์เอกสารต่างๆส่งต่อหากันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไอเดียของนวัตกรรมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย คงต้องมาติดตามกันว่าในอนาคตเราจะได้เห็นเจ้า Paper Tab นี้วางจำหน่ายในตลาดแท็บเล็ตกันเมื่อใด




Appfree แต่งข้อความบนภาพด้วยฟอนต์ภาษาไทยสุดเก๋ แอพสัญชาติไทย ดาวน์โหลดฟรีบน iPhone


Text2 : More Text More Words เป็นอีกหนึ่งแอพแต่งภาพที่มาพร้อมกับฟิลเตอร์การแต่งภาพ และความสามารถในการเพิ่มข้อความเข้าไปบนรูปภาพ แต่สิ่งที่แตกต่างจากแอพแต่งภาพอื่นๆนั่นก็คือ Text 2 เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนาโดยคนไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นแอพสัญชาติไทย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่โดดเด่น และแตกต่างจากแอพประเทศอื่นๆ นั่นก็คือการมีฟอนต์ตัวหนังสือภาษาไทยไทยในแบบเก๋ๆ ต่างๆ มาให้เลือกใช้งานเพื่อเพิ่มความหมายเข้าไปในภาพที่เราต้องการ ใครที่ชื่นชอบถ่ายภาพพร้อมบันทึกข้อความบรรยายภาพเป็นภาษาไทยน่าดาวน์โหลดเก็บไปใช้งานเป็นอย่างยิ่ง


ทำไมร้าตัดผมจึงปิดวันพุธ


ทำไมร้าตัดผมจึงปิดวันพุธ
ในสมัยโบราณ พระมหากษัตริย์จะทรงปลงพระเกศาในวันพุธ

ชาวประชาข้าแผ่นดินในสมัยนั้นก็เลยไม่ตัดผมในวันเดียวกับพระเจ้าแผ่นดิน

มีความรู้สึกและความเชื่อว่า จะเป็นการอาจเอื้อมเสมอท่าน

จะเป็นกาลกิณีและไม่เป็นมงคลกับตัวเอง

ข้อมูลจาก อ.เผ่าทอง ทองเจือ... (รายการคุณพระช่วย)

........................

อีกตำรานึง...

พุธห้ามตัด,พฤหัสห้ามถอน

วันพุธห้ามตัดผม และตัดไม้ เพราะวันพุธเป็นวันแห่งการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการ

ถือว่าถ้าตัดผมวันพุธจะทำให้ปัญญาทราม ส่วนวันพฤหัสนั้นเป็นวันครูเป็นวันที่นิยมเรียนวิชา

ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรือง ดังนั้นไม่ควรถอน หรือโค่นทำลายสิ่งใดๆก็ตาม

และในวันพฤหัสนี้ทางโบราณยังห้ามเรื่องการแต่งงานอีกด้วย เพราะวันนี้คือวันครู

ดังนั้นไม่ควรกระทำการดังกล่าวในวันนี้ เพราะถือว่าเป็นการไม่เคารพนับถือครู บาอาจารย์

ตัดผม วันอาทิตย์ จะมีอายุยืน
ตัดผม วันจันทร์ จะมีแต่โชคลาภ
ตัดผม วันอังคาร ศัตรูจะทำร้ายใส่โทษ
ตัดผม วันพุธ ไม่ดี จะเกิดเป็นปากเป็นเสียงกับผู้อื่นได้ง่าย
ตัดผม วันพฤหัสบดี ดียิ่งนัก เทวดารักษา เป็นสิริสวัสดิ์กับตัวท่าน
ตัดผม วันศุกร์ ดีนัก มักจะมีโชคลาภ
ตัดผม วันเสาร์ ดียิ่งนัก คิดการทำสิ่งใดจะได้ดั่งสมประสงค์

From : http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2007/08/Q5687253/Q5687253.html http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5b3f085c21f2155d

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

Mozilla ใบ้ฟีเจอร์ใหม่สามอย่างใน Firefox for Android ในปี 2013

เนื่องในโอกาสขึ้นปี 2013 Mozilla ออกมาเขียนบล็อกใบ้ฟีเจอร์ใหม่สามอย่างที่จะเพิ่มเข้าไปใน Firefox for Android ในปีนี้
อย่างแรกสุดคือฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมาตลอดอย่าง Private browsing ตามมาด้วยการเปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเบราว์เซอร์ได้มากขึ้นอันเป็นจุดเด่นของ Firefox โดยจะเพิ่มเข้ามาทั้งธีม และการปรับแต่งหน้าแรก ซึ่งทีมงานยืนยันว่าจะไม่ทำให้การใช้งานช้าลง
อย่างสุดท้ายคือเพิ่มการรองรับ Firefox for Android ให้มากขึ้นไปอีก จากปีก่อนที่รองรับ ARMv6 และเพิ่มการรองรับภาษาให้มากขึ้น



From : http://www.blognone.com/node/39747

Apple เตรียมผลิตไอโฟนต้นทุนต่ำ ราคาถูก สู้ ซัมซุง

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า  บริษัทแอปเปิ้ลระบุว่า  มีแผนที่จะเตรียมผลิตไอโฟนรุ่นราคาถูกลุยตลาดล่าง ภายในปีนี้  โดยคาดว่าราคาจะอยู่ประมาณ 99 , 149  เหรียญสหรัฐฯ  เพื่อลุยส่วนแบ่งการตลาดโทรศัพท์มือถือ ที่ตอนนี้ ซัมซุง ผงาดเป็นเจ้าตลาดมือถือรายใหญ่อันดับ 1 รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์จากกูเกิ้ลที่ครองสัดส่วนเรื่องอุปกรณ์สมาร์ทโฟนมากที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สถิติราคา ไอโฟน 4 และ ไอโฟน 4 เอส  ที่บริษัทแอปเปิ้ลเคยประกาศลดราคาถูกสุดในทุกซีรีส์คือ ไอโฟน 3จีเอส รุ่น 8 GB ที่ขายในราคา 8 พันกว่าบาท 

เน็ตเวิร์ดปี 2013

โบรเคดชี้ 2013 จะเป็นปีที่พลิกผันของวงการไอที ในขณะที่ยูสเซอร์ทุกระดับคาดหวังกับการใช้งานระบบมากขึ้น

เรามาดูกันว่า จากปี 2012 ที่เป็นปีสำคัญ ในปีหน้า ปี 2013 นี้ จะมีเทรนด์เทคโนโลยีเน็ตเวิร์กอะไรที่น่าสนใจบ้าง

1.ก้าวใหม่กับการใช้งานจริงของ SDN (Software-Defined Networking) – กีฬาโอลิมปิก2012ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความต้องการการเข้าถึงข้อมูลจากผู้บริโภคยังไม่มีวี่แววที่จะลดถอยลงเลยเนื่องจากกิฬาโอลิมปิกที่ลอนดอน ที่นอกจากจะเป็นมหกรรมกีฬาที่นานาชาติจากทั่วโลกได้มาร่วมแข่งขันแล้ว ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีกับโลกของเราที่มีคนมากกว่า 4.8 พันล้านคนมาเข้าดูกีฬาจากทั่วโลก และเป็นครั้งแรกที่คนดูผ่านระบบดิจิตอลมากกว่าคนดูจากทีวีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ อย่างไรก็ตามในขณะที่เซอร์วิสโพรไวเดอร์พยายามจะตอบสนองความต้องการจุดนี้ และวุ่นวายกับการพยายามบริหารธุรกิจให้ได้กำไร เช่น ลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำงาน รวมทั้งยังต้องตอบสนองเซอร์วิสต่างๆ ให้ดีขึ้น โดยมองหาทางเลือกเทคโนโลยีที่จะช่วยลดขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเซอร์วิสและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ

ซึ่งระบบ Software-Defined Networking (SDN) คือ ช่องทางใหม่ที่ตอบโจทย์นี้และทำให้เกิดขึ้นได้ โดย SDN จะเชื่อมเน็ตเวิร์กกับแอพพลิเคชั่นเข้าด้วยกัน ดังนั้นจะสามารถควบคุมผ่านโปรแกรมได้ทั้งเน็ตเวิร์กและเลเยอร์ต่างๆ ให้เป็นไปตามที่ผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นต้องการ

บริษัทวิจัย IDC ได้ทำนายเอาไว้ว่า ภายในปี 2016 ตลาดนี้จะมีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีมูลค่าเพียง 168 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งจากการใช้สถาปัตยกรรมระบบแบบ SDN จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของและใช้งาน (TCO) ลงได้อย่างมาก และจากการที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ จากผู้ผลิต และการซัพพอร์ตระบบที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในปีหน้า เราจะได้เห็นการติดตั้งใช้งาน SDN จริงขึ้นมาบ้างในหลายจุดทั่วโลก ซึ่งหลักๆ ก็น่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยในปี 2013 นี้จะมีอะไรเด่นๆ ออกมามากมายสำหรับเทคโนโลยีตัวนี้

2.จุดจบของยูสเซอร์ที่ใช้งานเป็นครั้งคราว - ต่อไปนี้เวลาพูดถึงยูสเซอร์ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ภาคธุรกิจหรือผู้ใช้งานทั่วไปก็ตาม ต้องบอกว่าต่างก็เสพติดกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา และโดยข้อเท็จจริงที่ว่า แค่ไตรมาสที่สามของปี 2012 นี้ มียอดขายโทรศัพท์มือถือกว่า 440 ล้านเครื่อง และในจำนวนนี้กว่า 25 เปอร์เซ็นต์เป็นเครื่องสมาร์ทโฟน แสดงให้เห็นว่ายูสเซอร์ต้องการการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กมากแค่ไหน

ซึ่งจะทำให้ปี 2013 จะเป็นปีที่ยูสเซอร์ที่ล็อกอิน-ล็อกออฟใช้งานแบบชั่วคราว หรือ “transaction-based” จะลดลง ในขณะที่ยูสเซอร์แบบเชื่อมต่อตลอดเวลาจะเพิ่มขึ้น และผู้ให้บริการรายต่างๆ จะแข่งขันกันเสนอราคาเพื่อนำเสนอบริการแบบเชื่อมต่อ 24 ชั่วโมง ในขณะที่ธุรกิจจะโหนกระแสนี้ต่อโดยเพิ่มบทบาทด้านโซเชียลมีเดียและชุมชนออนไลน์มากขึ้น ทั้งในด้านสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและงานซัพพอร์ต และจะทำให้นิยามการติดต่อดูแลลูกค้าทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และจะประสบความสำเร็จได้ในเกมนี้ผู้ให้บริการต้องมั่นใจว่าระบบแบ็คเอ็นด์ของตนดีพอ รองรับความคาดหวังของลูกค้าได้พอเพียง

ในทางกลับกันของสถานการณ์แบบนี้ หากเซอร์วิสเกิดสะดุดหรือเชื่อมต่อไม่ได้ ก็จะมีผลร้ายแรงต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า ถึงขั้นเลิกใช้บริการไปเลยทีเดียว

3.ใคร่ครวญการใช้งานระบบคลาวด์ - เมื่อปีก่อนทางโบรเคดได้เคยทำนายเอาไว้ว่า บริษัทที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจไอทีจะเริ่มเข้ามาจับด้านงานเซอร์วิสคลาวด์ เพื่อหาช่องทางใหม่ๆ ในการใช้ประโยชน์สูงสุดและทำรายได้จากระบบคลาวด์และเครือข่ายของเซอร์วิสโพรไวเดอร์ ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อเนื่องไปในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แต่จะเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีการพัฒนาขึ้นโดยบรรดาธุรกิจจะหันมาตรวจสอบระบบคลาวด์กันอย่างจริงจัง ว่ามีผลกระทบอย่างไร ข้อดีอยู่ตรงไหน มีการใช้งานด้านใดบ้าง ผลตอบแทนการลงทุนเป็นเช่นไร

คำถามพวกนี้จะมีมากขึ้น รวมทั้งประเด็นที่ว่า การติดตั้งระบบใหม่ๆ นั้นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยืดหยุ่นในการใช้งานจริงหรือไม่ ผู้ใช้จะได้ประโยชน์อะไร แล้วจะวัดผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างไร ในเมื่อระบบนี้ไม่ได้อยู่ หรือเป็นเจ้าของโดยตัวบริษัทที่ใช้งาน

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ องค์กรไอทีจะพยายามเข้าควบคุมทรัพยากรและระบบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตนมี รวมทั้งเรื่องงบที่ใช้ในการติดตั้งระบบคลาวด์ภายในบริษัทเองที่น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหลังของปีหน้า

นอกจากนี้ องคก์กรไอทีจะท้าทายการแข่งขันด้วยการเป็นเซอร์วิสโพรไวเดอร์สายพันธุ์ใหม่ ด้วยการเสนอบริการโฮสติ้งเอง และยุทธศาสตร์ใหม่นี้จะทำให้สร้างโอกาสทำรายได้จากตลาดใหม่ที่จะมีมูลค่าถึง 73 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2015

เรื่องนี้จะเป็นข่าวดีสำหรับยูสเซอร์ แต่จะต้องดูให้ดีว่าประสิทธิภาพ ความคงทนของระบบ และค่าใช้ใช้จ่ายนั้นตรงตามที่บริษัทแต่ละแห่งต้องการจริงๆ เท่านั้น

4.ลูกค้าจะไม่ยอมผูกติดกับเจ้าใดเจ้าหนึ่ง - เพราะในฐานะผู้บริโภคแล้ว ไม่มีใครอยากจะถูกล่ามโซ่ให้ต้องจำใจติดอยู่กับใครคนใดคนนึง และเทรนด์ใหม่ในตอนนี้ก็คือหันไปเน้นโปรดักต์แบบเปิด ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนแอพในมือถือ เพิ่มออพชั่นให้กับรถ ทั้งหมดนี้ “ทางเลือก” คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่สุด ทุกคนอยากจะเลือกได้กันทั้งนั้น

ซึ่งในทางเน็ตเวิร์กกิ้งแล้ว ทางเลือกจะต้องมีอย่างหลีกไม่ได้ เพราะแนวโน้มใหม่คือระบบเปิด และโซลูชั่นที่ใช้โปรดักต์จากหลายผู้ผลิตจะเป็นทิศทางที่เห็นเด่นชัดขึ้นในปี 2013 นอกจากนี้ความไว้วางใจคือเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นกัน โดยธุรกิจจะมองหาผู้ขายที่ตนวางใจเพื่อติดตั้งโซลูชั่นที่ปรับขยายได้และยืดหยุ่นในการใช้งานเพื่อซัพพอร์ตระบบสำคัญๆ ของบริษัท

ดังนั้นผู้ขายรายใดที่ไม่มีโซลูชั่นที่ใช้งานกับโปรดักต์ของผู้ผลิตอื่นๆ ได้ ก็จะแข่งขันได้ยากในสภาพการณ์ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ ต้องปรับตัวได้เก่ง และยืดหยุ่นในการใช้ร่วมกับระบบอื่นเท่านั้น ที่จะไปรุ่ง ในขณะที่บริษัทใดที่ปรับตัวไม่ได้ก็จะต้องออกจากธุรกิจไป

5.เทคโนโลยีจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคที่ตอบสนองมนุษย์เราได้อย่างแท้จริง - ลองนึกย้อนไปในสมัยที่เมื่อก่อนคอมพิวเตอร์ไม่มีไอคอนที่หน้าจอ แล้วยูสเซอร์จะต้องพิมพ์ชื่อแอพพลิเคชั่นต่างๆ ลงไปในชุดคำสั่งเพื่อที่จะเข้าใช้งาน ซึ่งทั้งเสียเวลา ผิดพลาดง่าย และยุ่งยากน่ารำคาญ จนกระทั่งไอคอนหน้าจอได้มาปฏิวัติรูปแบบการใช้งานของยูสเซอร์ทั่วโลก
ซึ่งในอนาคตอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราน่าจะได้เห็นอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เช่น อุปกรณ์ที่สั่งงานได้ด้วยเสียง เป็นต้น หรือจะเป็นอะไรอื่นที่ก้าวไกลทางเทคโนโลยีมากกว่านั้น ส่วนจะเป็นอะไรนั้น คงต้องติดตามดูกันต่อไป



From : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1357810836&grpid=&catid=06&subcatid=0600