วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวปุ่ม "Want"

มากกว่า Like! เฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวปุ่ม "Want" เร็ว ๆ นี้


..... หลังจากเพิ่งจะเปิดตัวบริการเฟซบุ๊กกิฟต์ (Facebook Gift) ที่ให้ผู้ใช้ซื้อของให้เพื่อนบนเฟซบุ๊กได้จริง ๆ ไปหมาด ๆ ล่าสุด เฟซบุ๊กก็เตรียมเปิดตัวปุ่มใหม่ "Want" ออกมาให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ใช้กันในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกใหม่ให้เข้าถึงอารมณ์ผู้ใช้มากขึ้น แถมยังเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊กมากโข

โดยทางเฟซบุ๊ก ได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า เฟซบุ๊กกำลังร่วมมือกับผู้ค้าปลีก 7 บริษัท ทดสอบการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ "Facebook Collections" กับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวมีการเพิ่มปุ่ม Want เข้าไปให้ผู้ใช้งานได้แชร์ความต้องการสินค้าได้ชัดเจนขึ้น และสร้างรายชื่อสินค้าที่ต้องการ (Wishlists) ได้






สำหรับฟีเจอร์ Facebook Collections นี้ เฟซบุ๊กได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเอาใจทั้งเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊ก และผู้ใช้งานทั่วไป เพราะต่อไปนี้ เมื่อเจ้าของธุรกิจบนเฟซบุ๊กแชร์ภาพสินค้าใด ๆ ผู้ใช้ก็จะสามารถระบุว่าตัวเอง Like, Want, หรือ Collect สินค้าชิ้นนั้น และเมื่อผู้ใช้ได้คลิกแสดงอารมณ์ของตัวเองที่มีต่อสินค้าชิ้นนั้นแล้ว แน่นอนว่า สินค้านั้นก็จะไปปรากฏบนหน้า News Feed เพื่อบอกต่อเพื่อน ๆ คนอื่นด้วย เรียกว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการโปรโมทสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้ดีเลยทีเดียว และที่สำคัญ เจ้าของธุรกิจก็จะได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้เข้าชมที่มีต่อสินค้า โดยแยกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่แค่ชื่นชอบ กลุ่มที่ต้องการ และกลุ่มที่ซื้อสินค้า

ทั้งนี้ การเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ Facebook Collections ลงในเฟซบุ๊ก หลังเปิดตัวบริการเฟซบุ๊กกิฟต์ (Facebook Gift) ซึ่งเป็นบริการสั่งซื้อของขวัญให้เพื่อนบนเฟซบุ๊ก ไปได้ไม่ถึงเดือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เฟซบุ๊กกำลังเดินหน้ารุกตลาดอีคอมเมิร์สอย่างจริงจังแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวโกยรายได้ให้กับเฟซบุ๊กไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าฟีเจอร์ Facebook Collections นี้ คงจะเปิดตัวให้เริ่มใช้งานกันอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาก่อนเช่นเคย จึงจะขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ต่อไป

From : ครูบ้านนอกดอทคอม

World’s Best Multinational Workplaces เผยบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก

บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก World’s Best Multinational Workplaces ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดย Great Place to Work®
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นต้องมาติดตามกันดู เว็บไซต์ thanonline.com ได้รายงานว่า บริษัท แซส คว้าอันดับสูงสุดในกลุ่ม “บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก” (World’s Best Multinational Workplaces) จาก Great Place to Work®

โดยบริษัท แซส ผู้นำในตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ ได้รับอันดับที่ 1 จากการพิจารณาในด้านสถานที่ทำงานที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ชุมชนที่มีลักษณะเปิดกว้าง สิทธิประโยชน์ที่เอื้ออาทร และการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

“การได้รับการยกย่องในครั้งนี้ย้ำให้เห็นถึงความพยายามของเราในการสนับสนุนให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรมทั่วโลก ไม่ว่าเราจะมีสถานที่ทำงานตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม” นายจิม กูดไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แซส กล่าว และว่า “ความเห็นของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการประสบความสำเร็จในการเป็นสถานที่ทำงานชั้นเยี่ยมอันดับหนึ่งของทำเนียบการจัดอันดับในครั้งนี้ นั่นหมายความว่าจะต้องเกิดแนวทางปฏิบัติที่ดีเยี่ยมในลักษณะที่พนักงานของแซสได้ให้ความสำคัญกับองค์กรในระดับที่มากเทียบเท่ากับที่เราได้ให้ความสำคัญกับพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่เราให้ความสำคัญกับลูกค้าของเราด้วย”

ทั้งนี้ มีบริษัท แซส ทั่วโลกที่ได้รับการยกย่องจาก Great Place to Work โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัท แซส ได้รับอับดับที่ 2 ของบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก และในปี 2555 บริษัท แซส เบลเยียม และบริษัท แซส สวีเดนได้รับอันดับ 1 ในบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศ (Best Companies to Work For) ขณะที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท แซส (สหรัฐอเมริกา) และบริษัท แซส นอร์เวย์ ได้รับอันดับหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศในปี 2553 และ 2554 และในปีนี้ บริษัท แซส ยังได้รับอับดับสูงสุดของสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดในประเทศออสเตรเลีย เบลเยียม แคนาดา ยุโรป ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ อินเดีย อิตาลี เม็กซิโก และเนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา

“บริษัทที่ติดทำเนียบ “บริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลก” ประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่สองนี้ กำลังเดินหน้าสร้างสถานที่ทำงานที่มุ่งเน้นในด้านการสนับสนุนให้เกิดความไว้วางใจ ความภาคภูมิใจ และสัมพันธภาพที่ดีร่วมกับพนักงานของตน” นางสาวซูซาน ลูคัส-คอนเวลล์ ซีอีโอส่วนกลางของ Great Place to Work กล่าว และว่า “การมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบอันทรงเกียรตินี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นของพวกเขาในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของพนักงานให้ดียิ่งขึ้นและสร้างมาตรฐานใหม่เชิงนวัตกรรมสำหรับสถานที่ทำงานแห่งอนาคต”

สำหรับบริษัทที่มีสิทธิ์เข้าร่วมในโครงการนี้ จะต้องเป็นบริษัทที่ติดอันดับบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศของ Great Place to Work อย่างน้อยห้าครั้งในช่วงปีที่ผ่านมาและมีพนักงานทั่วโลก 5,000 คน โดยจะต้องมีสัดส่วนของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายนอกประเทศที่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ บริษัทที่มีรายชื่อติดในทำเนียบบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลกนั้น เป็นการจัดอันดับจากพนักงานของตนว่าเป็นบริษัทที่ดีที่สุด และมีนโยบายด้านทรัพยากรบุคคลที่ดีเยี่ยม รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการไว้วางใจ
นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า

“สำหรับประเทศไทย เรามุ่งเน้นด้านความสุขในการทำงานของพนักงานเช่นเดียวกัน เพราะเป็นนโยบายของแซสทั่วโลก ว่า ถ้าพนักงานมีความสุขในการทำงานและมีสวัสดิการที่ดีแล้ว คุณภาพและความใส่ใจต่อการบริการลูกค้าก็จะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น โดยหนึ่งในสวัสดิการของพนักงานที่ผ่านมาเราได้ให้พนักงานใช้บริการสถานที่ออกกำลังกายและสปาฟรีได้ตามความต้องการ ทั้งยังมีแผนพัฒนารายบุคคลให้แก่พนักงานแตกต่างกันตามความเหมาะสมและความสนใจ ซึ่งนี่เป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญมุ่งพัฒนาให้เหนือมาตรฐานตลาดทั่วไป พร้อมทั้งหมั่นสอบถามความต้องการของพนักงานแต่ละคนว่า ต้องการสวัสดิการอะไรที่เพิ่มเติม เพื่อให้ตรงกับความต้องการของพนักงาน ซึ่งเราก็มีความมุ่งมั่นที่จะติดอันดับ บริษัทที่น่าทำงานที่สุดในประเทศไทยเช่นเดียวกัน”

ทำเนียบบริษัทที่น่าทำงานที่สุดถือกำเนิดภายใต้ความร่วมมือกับนิตยสารฟอร์จูนในสหรัฐอเมริกา และบริษัท เอ็กแซม ในบราซิลเมื่อปี 2540 โดยขณะนี้ Great Place to Work ได้ให้การยกย่องสถานที่ทำงานชั้นนำต่างๆ แล้วใน 45 ประเทศ และในทุกปี Great Place to Work จะวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสำรวจที่ได้รับจากพนักงานซึ่งมีจำนวนกว่า 2.5 ล้านคน และทำการวิเคราะห์วัฒนธรรมของสถานที่ทำงานที่ได้ข้อมูลจากบริษัท 5,671 แห่งที่รวมแล้วมีพนักงานกว่า 11 ล้านคน สำหรับทำเนียบบริษัทข้ามชาติที่น่าทำงานที่สุดในโลกนั้น ได้พิจารณาข้อมูลแบบสำรวจจากพนักงานในบริษัทนับพันแห่งใน 6 ทวีป ซึ่งนั่นช่วยให้แน่ใจได้ว่าผลการศึกษาสถานที่งานที่ดีเยี่ยมประจำปีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนั้นสามารถเชื่อถือได้


ถนนที่ดังที่สุดในโลก

travel mthai ชวนเดินถนนสุดคึกคัก คงความเป็นเอกลักษณ์และมีมนต์ขลัง ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม รวมถึงความงดงามแห่งวิถีชีวิต กลายเป็นหนึ่งสถานน่าพิศมัย กับ 10 อันดับ ถนนที่ดังที่สุดในโลก
อันดับ 10. Lombard Street



ถนนลอมบาร์ด เชื่อมระหว่าง ถนนไฮด์ (Hyde) กับ ถนนลีเวนเวิร์ท (Leavenworth) ใน เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อว่าเป็น ถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก เป็นทางลาดชัน 40 องศา เป็นเส้นทางเดินรถทางเดียว ซึ่งประกอบด้วย 8 โค้งหักศอก ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความสูงชันของเนินเขา และจำกัดความเร็วอยู่ที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับขี่บน ถนนลอมบาร์ด จึงเป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจของหมู่นักท่องเที่ยว ต้องอาศัยความชำนาญและความระมัดระวังอย่างมาก เพราะเป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเสมอ ทางที่ดีเดินลงบันข้างทางน่าจะปลอดภัยสุด!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 9. Abbey Road



ถนนแอบบี้ ถนนชื่อดังทางตอนเหนือของ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งสุดปลายถนนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้นั้นเป็นที่ตั้งของสตูดิโอเพลงที่วง The Beatles (เดอะ บีเทิลส์) ใช้อัดเสียง ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1969 พวกเขารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำอัลบั้มสุดท้ายก่อนแยกวง และให้ชื่อว่า Abbey Road โดยปกอัลบั้มเป็นภาพสมาชิกในวงเดินข้ามทางม้าลายที่ ถนนแอบบี้ ใกล้กับสตูดิโอ กลายเป็นภาพยอดฮิตติดตลาดโลก นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเหยียบ จะต้องเดินเลียนแบบเทียบชั้นศิลปินชื่อดังกลุ่มนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมของอังกฤษยังยกย่องให้ ทางม้าลาย แห่ง Abbey Road เป็น มรดกทางวัฒนธรรม ชั้นที่ 2 ของประเทศ เป็นทางม้าลายแรกที่ได้รับสิทธิ์นั้น!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 8. Hollywood Walk of Fame



ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม เป็นทางเท้าที่อยู่สองข้างทางถนน ฮอลลีวูด บูเลวาร์ด เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสถานที่จารึกชื่อของนักแสดงและบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ วงการโทรทัศน์ วงการดนตรี วงการวิทยุ และ วงการละครเวที ผ่านดวงดาวที่สลักลงบนพื้นถนน กว่า 2,400 คนแล้วที่ได้รับการจารึกบน Hollywood Walk of Fame ทั้งนี้แฟนคลับหรือคนทั่วไปมีสิทธิ์ยื่นเสนอชื่อบุคคลในแต่ละสาขาที่ตนโปรดปราน ส่งให้คณะกรรมการหอการค้าฮอลลีวูดพิจารณาในแต่ละปี แต่จารึกแล้วใช่จะได้เปล่า มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อทุกคน จะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียม เป็นเงิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา..ศิลปินบอกว่า จิ๊บๆ!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 7. La Rambla



ถนนรา รัมบลา ถนนที่คึกคักและมีชีวิตชีวาที่สุดในบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เป็นเส้นทางช้อปปิ้งซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้ตลอดสองข้าง บนระยะทาง 1.2 กิโลเมตร คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนในท้องถิ่นเสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ ที่เรียกกันว่า ถนนคนเดิน ลาส รัมบลาส (Las Ramblas) เป็นถนนที่มีความหลากหลายทั้งตลาดสินค้า และการแสดงข้างถนน สะท้อนให้เห็นแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ที่สุดปลายถนนใกล้กับท่าเรือเก่าของเมืองบาร์เซโลนา อนุสาวรีย์ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ ยืนคอยท่าอยู่!

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 6. Orchard Road



ถนนออชาร์ด เป็นถนนช้อปปิ้งสายสำคัญของประเทศสิงคโปร์ เป็นที่เที่ยวยอดนิยมทั้งในหมู่คนสิงคโปร์และนักท่องเที่ยว ชื่อถนนตั้งตามสวนพริกไทยและจันทน์เทศซึ่งอดีตเคยเป็นที่ทำการเพาะปลูกพืชสวน ปัจจุบัน Orchard Road เรียงรายไปด้วยภัตตาคาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ ไนท์คลับ และโรงแรงมากมายตลอดเส้น ทั้งยังเป็นที่ตั้งของ อิสตาน่า (Istana) ที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสิงคโปร์ และแน่นอนว่าเทศกาลสำคัญอย่างคริสมาสต์ ต้องมาสร้างความคึกคักบน ถนนออชาร์ด !

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 5. Khao San Road



ถนนข้าวสาร ของพี่ไทยอย่างเราก็ไม่น้อยหน้า ติดอันดับเข้าหูเข้าตาต่างชาติใช่ย่อย ถนนเส้นเล็กๆ แห่งนี้เดิมเป็นย่านเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นตรอกที่ขายข้าวสารและเป็นแหล่งค้าขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดของเขตพระนคร ปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็นแหล่งรวมสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงของโลก เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและเทศ โดยเฉพาะกลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ เพราะที่พักมีราคาถูก ระยะทางของ ถนนข้าวสาร เริ่มตั้งแต่ถนนจักรพงษ์หน้าวัดชนะสงคราม ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงถนนตะนาวใกล้สี่แยกคอกวัว ตลอดเส้นKhao San Road นอกจากบาร์ ร้านเสื้อผ้า ของชำร่วย และเครื่องเงินแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ชาวเขาและ ผัดไทย !

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 4. Wall Street



ถนนวอลสตรีท เส้นทางเก่าแก่ จาก บรอดเวย์ สู่ อีสท์ ริเวอร์ บน เกาะแมนฮัตตัน เป็นย่านตลาดหลักทรัพย์แห่งนิวยอร์ค และ ศูนย์กลางทางการเงินของโลก Wall Street คือชื่อถนนซึ่งตั้งจากกำแพงที่สร้างในศตวรรษที่ 17 โดยชาวดัตช์เพื่อปกป้องถิ่นฐาน ปลายศตวรรษที่ 18 พ่อค้าและนักเก็งกำไรรวมตัวกันบนถนนสายนี้เพื่อประกอบธุรกิจอย่างเป็นทางการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. 1817

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 3. Via Dolorosa



ถนนเวีย โดโลโรซ่า ในภาษาลาตินแปลว่า วิถีแห่งความเศร้าโศก ตั้งอยู่ที่ เมืองเก่าแห่งเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล สถานที่ซึ่งทิ้งร่องรอยสุดท้ายของพระเยซูจากการถูกตรึงไม้กางเขน ตามเส้นทางทั้งหมด 14 แห่ง ที่เชื่อมโยงแต่ละเหตุการณ์ ให้นักแสวงบุญเดินทางเพื่อบรรลุถึงความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นเจ้า ถนนแห่งประวัติศาตร์นี้มีการค้นพบทางโบราณคดีตลอดหลายศตวรรษ แสดงให้เห็นว่าเส้นทางเริ่มต้นของ ถนนเวีย โดโลโรซ่า ฝั่งเนินเขาตะวันตก สะท้อนความจริงของชีวิตได้อย่างชัดแจ้ง

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 2. Las Vegas Strip



ลาสเวกัส ตั้งอยู่ใน รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการขนานนามว่า “เมืองแห่งบาป” เพราะทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของธุรกิจการพนัน มีบ่อนคาสิโนเรียงรายตลอดเส้น เรียกว่าเป็นแหล่งการพนันของโลก ทั้งยังมีโรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ซึ่งตกแต่งสุดอลังการ รวมตัวกันมากมาย สร้างสีสันให้ Las Vegas เป็นเมืองแห่งแฟนตาซี

ถนนที่ดังที่สุดในโลก อันดับ 1. Champs-Elysées



ถนนช็องเซลีเซ หนึ่งในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีสและประเทศฝรั่งเศส เป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยโรงละคร คาเฟ่ และร้านค้าสุดหรู โดยมีอัตราค่าเช่าสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับพื้นที่ 1,000 ตารางฟุต (93 ตารางเมตร) สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นเกาลัดซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม นามว่า “ช็องเซลีเซ” มาจากคำว่า ”ทุ่งเอลิเซียม” จากเทพปกรณัมกรีกในภาษาฝรั่งเศส ด้วยความงดงามสุดอลังการของสถาปัตยกรรม มากมายด้วยแบรนด์ชั้นนำ เคล้าความหรูหรา มีชีวิตชีวาตลอดเส้น Champs-Elysées จึงได้รับการยกให้เป็น ถนนที่สวยที่สุดในโลก



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ฮือฮา ขุดเจอทองคำยักษ์ หนักกว่า 5.5 กิโลกรัม ในรัฐวิคตอเรีย


ฮือฮา ขุดเจอทองคำยักษ์ หนักกว่า 5.5 กิโลกรัม



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักสำรวจชายคนหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยตัว สร้างความฮือฮาให้กับวงการนักสำรวจและนักขุดทอง

เมื่อขุดพบก้อนทองคำยักษ์ ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 5.5 กิโลกรัม ถูกฝังอยู่ใต้ดินในรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย คิดมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท

โดยรายงานข่าวระบุว่า ชายคนดังกล่าวใช้เครื่องตรวจจับโลหะแบบถือด้วยมือที่มีความล้ำสมัย ตรวจพบก้อนทองคำดังกล่าว ซึ่งฝังอยู่ลึกประมาณ 60 เซนติเมตร โดยบริเวณดังกล่าวเคยมีผู้ขุดหาทองคำมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่พบ







กรุงเทพฯติดอันดับ 3 เมืองคนนิยมมาท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกปี 2012


เว็บไซต์ breakingnews.nationchannel รายงานล่าสุดว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ติดอันดับที่ 3 จาก 20 อันดับของนครใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากที่สุด เมื่อปี 2012 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ร่วมกับบริษัทบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด โดยในเว็บไซท์ของฟอร์บส์ ระบุว่า วัดอรุณราชวราราม ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสถานที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งคาดว่า สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 12.2 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
ใน 3 อันดับแรก ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด ได้แก่ ลอนดอน ปารีส กรุงเทพฯ โดยกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ยังนำหน้าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในเรื่องของจำนวนนักเที่ยวและการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวอีกด้วย และยังได้รับการคาดหมายว่า จะแซงหน้ากรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ที่ครองอันดับนครหลวงที่มีนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินไปกับการท่องเที่ยวมากที่สุด เป็นอันดับที่ 3 ของโลกด้วย
แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเชื่องช้าไปทั่วโลก แต่จำนวนของคนที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง / มาสเตอร์การ์ด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ได้ยกให้กรุงลอนดอน เป็นผู้นำโลกใน 2 ด้านด้วยกัน คือ เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคาดว่า ในปีนี้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปยังกรุงลอนดอน มากถึง 16.9 ล้านคน และยังเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินเฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งทำให้ยอดการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวในปี 2012 สะพัดถึง 21,100ล้านดอลล่าร์ หรือราว 6 แสน 3 หมื่น 3 พันล้านบาท

ไม่ว่าจะเป็นในฐานะนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยว ผู้ที่ไปเยือนลอนดอนที่มาจากนครนิวยอร์คของสหรัฐ ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางมาไกลที่สุดและใช้จ่ายเงินมากที่สุด ส่วนนิวยอร์คยังคงรั้งอันดับสองของนครที่มีนักท่องเที่ยวไปใช้จ่ายเงินมากที่สุด รองจากลอนดอน ที่อาจอธิบายได้ว่า ภาษาต่างชาติทุกภาษาจะมีให้ได้ยินหมดที่ร้านแก๊ป

เมื่อข้ามมายังฝั่งของเอเชีย-แปซิฟิก / กรุงเทพฯยังคงทิ้งห่างชาติอื่น ในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยว รวมถึงความคาดหมายว่าจะโค่นกรุงปารีสจากอันดับ 3 ของโลก ในฐานะนครที่มีนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินมากที่สุดอีกด้วย ส่วนดูไบเมืองศูนย์กลางทางการเงินและการท่องเที่ยวของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังคงรั้งอันดับ 1ในจำนวน 10 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนครใหญ่ในตะวันออกกลางและแอฟริกา

ส่วนจีน สร้างประวัติศาสตร์กันเองภายในประเทศ ด้วยการที่นครเซี่ยงไฮ้ แซงหน้ากรุงปักกิ่งที่เป็นเมืองหลวง ขึ้นไปอยู่อันดับ 5 ของนครที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดเช่นเดียวกับที่สเปน ที่คนนิยมไปเที่ยวนครบาร์เซโลน่ามากกว่ากรุงมาดริด แต่ถึงกระนั้นกรุงมาดริด ก็ไม่ได้คลายมนตร์ขลังลงเสียทีเดียว

กรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี ก็ยังไม่สูญเสียมนตร์เสน่ห์ แม้ว่าความนิยมของการเป็นนครนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจะถดถอยไป ปล่อยให้กรุงโซล ของเกาหลีใต้ , กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย , นครแฟรงเฟิร์ต ของเยอรมนี และดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แซงหน้าไป ซึ่งเป็นไปได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญ

ในการจัดอันดับเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม 20 อันดับของโลก หรือ โกลบัล เดสติเนชั่น ซิตี้ส์อินเด็กซ์ ฟอร์ 2012 นี้ บริษัทบัตรเครดิต มาสเตอร์ การ์ด ใช้วิธีติดตามจากยอดการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยว
เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากสำหรับเมืองไทยของเราช่วยกันรักษาความเป็นไทยเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวให้มาก


คิวบา : แหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก

ใครที่เดินทางมาถึงคิวบาแล้วไม่ซื้อของสิ่งนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึง สินค้านั้นก็คือซิการ์ นั่นเอง ไปดูกันว่า เหตุใด คิวบาจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก


ประเทศคิวบาขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของเหล่าผู้สูบซิการ์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งผลิตซิการ์ที่ดีที่สุดในโลก โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาคิวบานั้น ส่วนใหญ่มักจะซื้อซิการ์ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยสูบซิการ์ก็ตาม เพื่อเป็นการยืนยันว่า พวกเขาเดินทางมาเยือนคิวบาจริงๆ จนทำให้ความนิยมในซิการ์คิวบาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


โดยสถานที่ที่เราจะพาไปในวันนี้ คือโรงงานผลิตซิการ์ที่มีชื่อว่า Partagás ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮาวานา เมืองหลวงของประเทศ โรงงานแห่งนี้ เริ่มผลิตซิการ์มาตั้งแต่ปี 2388 ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับรู้ถึงขั้นตอนของการผลิตซิการ์อย่างละเอียด พร้อมกับชมเรื่องราวความเป็นมาของโรงงานอีกด้วย โดยความพิเศษของโรงงานแห่งนี้ ก็คือการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว และคอซิการ์ทั้งหลาย ได้ทดลองสูบซิการ์ที่ตนเองชื่นชอบ เพราะซิการ์ของที่นี่ มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบและรสชาติ ดังนั้น หากใครที่ไม่แน่ใจว่า ซิการ์ที่ตนซื้อไปแล้วจะมีรสชาติเป็นที่ถูกใจหรือไม่ ก็สามารถทดลองสูบได้ก่อน


พร้อมกันนี้ ทางโรงงานยังได้จัดสถานที่เอาไว้สำหรับผู้ที่สนใจทดลองสูบซิการ์โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ จะมีกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆเอาไว้ให้บริการ โดยนักท่องเที่ยว จะได้ทอดอารมณ์ไปกับการสูบซิการ์และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคอซิการ์คนอื่นๆ ระหว่างการทดลองสูบซิการ์อีกด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่มีความรู้เรื่องซิการ์มากนัก ทางโรงงานเขาก็ได้จัดเตรียมพนักงานเอาไว้ให้บริการ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสอบถาม และพูดคุยเรื่องซิการ์กับพวกเขาได้อย่างเป็นกันเอง


สำหรับราคาของซิการ์ที่โรงงาน Partagás นั้น ไม่ได้ถูกหรือแพงกว่าราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมากนัก ซึ่งซิการ์ที่มีราคาสูง ส่วนใหญ่จะเป็นซิการ์ที่มีคุณภาพดีกว่าซิการ์ทั่วๆไป แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากใครที่ต้องการจะซื้อซิการ์ที่นี่ ควรศึกษาหาข้อมูล หรือจดชื่อของซิการ์ที่ต้องการซื้อมาก่อน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว คุณจะกลายสภาพเป็นเด็กน้อย ที่เพิ่งเข้าร้านลูกกวาดเป็นครั้งแรก เพราะว่าเห็นอะไรคุณก็ต้องการจะซื้อเอาไว้ก่อน อาจจะทำให้เงินในกระเป๋าหมดโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้


จากโรงงานซิการ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศคิวบาแล้ว เราขอพาคุณผู้ชมมาช็อปปิ้งต่อที่ร้านจำหน่ายซิการ์ชื่อดังอย่าง La Casa Del Habano ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านซิการ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในโลก ร้านจำหน่ายซิการ์แห่งนี้ มีสาขามากถึง 9 แห่งในประเทศคิวบา และยังมีสาขาทั่วโลกอีกมากมาย ซึ่งแต่ละสาขาก็จะมีการตกแต่งภายในที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นความหรูหราสะดวกสบาย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาแวะชม และถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก รวมถึงทดลองสูบซิการ์รสชาติต่างๆ ไปพร้อมๆกับการดื่มเครื่องดื่มมากมายหลายชนิดที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ ซึ่งจากรีวิวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เคยเดินทางมาเยือนร้าน La Casa Del Habano ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆนั้น ต่างก็ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้านจำหน่ายซิการ์ร้านนี้ คือสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบซิการ์อย่างแท้จริง


เอเชียจะเป็นผู้นำโลกแทนสหรัฐฯ-ยุโรปในปี 2030




ทางการสหรัฐฯประเมินว่าเอเชียจะมีอิทธิพลในการเมืองโลกแทนที่สหรัฐฯและยุโรปภายในปี 2030 ขณะที่จีนก็จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแทนสหรัฐฯภายในอีก 20 ปีข้างหน้า

สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIC ออกรายงานที่มีชื่อว่า Global Trend 2030 ซึ่งเป็นรายงานการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ทาง NIC จะออกทุกๆ 4 ปี โดยระบุว่าภายในปี 2030 หรือพุทธศักราช 2573 กลุ่มประเทศในเอเชียจะมีอิทธิพลในการเมืองโลกมากกว่าสหรัฐฯและยุโรปรวมกัน

โดย NIC ให้เหตุผลว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่เศรษฐกิจของยุโรปและรัสเซียที่มีแนวโน้มเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชาติในเอเชียมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของทั้งประชากร ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือ GDP การใช้จ่ายทางการทหาร รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ

นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุอีกว่า ในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแทนที่สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เอเชียกลายเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของโลก ถึงแม้ว่าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของเอเชียจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจเสื่อมถอยเช่นเดียวกับยุโรป

อย่างไรก็ตาม นายแมททิว เบอโรว์ ที่ปรึกษาสภาข่าวกรองแห่งชาติกล่าวย้ำว่า การที่จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ได้หมายความว่าจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจโลกในรูปแบบเดียวกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านของการแสวงหาพันธมิตรเพื่อสร้างอิทธิพลในประเด็นระหว่างประเทศต่างๆ


ทั้งนี้ Global Trend 2030 ยังมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจการเมืองโลกอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่สหรัฐฯจะพึ่งพิงพลังงานภายในประเทศได้อย่างสมบูรณ์ภายใน 20 ปีข้างหน้า หรือการที่ปัญหาประชากรสูงอายุ การขยายตัวของชนชั้นกลาง และทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง จะกลายเป็นความท้าทายหลักของรัฐบาลทั่วโลก